หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล

อนุสสติ10

ครั้งหนึ่งหลวงปู่ทองรัตน์รับนิมนต์เทศน์2ธรรมาสน์ร่วมกับเจ้าคณะอำเภอเขื่องในที่วัดพระธาตุสวนตาล มีประชาชนมาฟังเป็นอันมาก ทั้งชาวบ้านชีทวน บ้านหัวดอน บ้านหัวดูน บ้านท่าวารี บ้านแคน บ้านมะพริก บ้านท่าศาลา บ้านหนองบ่อ รวมทั้งพระเณรจากวัดต่างๆมารวมกันฟังเทศน์โดยพร้อมเพรียง
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู นักเรียนก็มาร่วมด้วย
เป็นงานใหญ่ไม่ใช่เล่น
มีการปุจฉา-วิสัชนา เพื่อให้ทุกคนได้ฟังและทำความเข้าใจข้อธรรมพื้นๆสำหรับคฤหัสถ์นำไปปฏิบัติได้ง่าย

เจ้าคณะอำเภอทำหน้าที่ปุจฉา หลวงปู่ทองรัตน์วิสัชนา
“พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?”
“อริยสัจ4”(มีการพูดขยายความถึงทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ให้พอเป็นที่เข้าใจ)
“ท่านทองรัตน์ล่ะอบรมสั่งสอนประชาชนอย่างไร”
“สอนศีล5 ซึ่งเป็นศีลหลัก ถ้าทุกคนปฏิบัติกันได้ก็จะไม่มีคุกตะราง, ตำรวจก็ไม่ต้องมี”
“คนเช่นไรตายไปแล้วจะเกิดในสุคติโลกสวรรค์ คนเช่นไรไปนรกอบายภูมิ”
“คนรักษาศีล5ไปสุคติโลกสวรรค์ คนล่วงศีล5ไปนรกอบายภูมิ”
“ก่อนตายควรทำจิตอย่างไรจึงจะสุคติ”
“นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำ ระลึกพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่เลี้ยงนำทาง หายใจเข้าก็ว่า-พุทธ,หายใจออกก็ว่า-โธ อยู่เสมอทุกขณะจิต จนกว่าจะขาดใจตาย”
นี่แค่เพียงตัวอย่างปุจฉา-วิสัชนาในวันนั้น

องค์ท่านได้เทศน์โปรดญาติโยมด้วยเสียงอันดัง ฟังชัด ห้าวหาญ สดใสและเปี่ยมอารมณ์ขัน
เนื้อหาใจความที่เทศน์องค์ท่านเน้นอนุสสติ10 ไม่ว่าจะระลึกถึงพระพุทธหรือพระธรรมหรือพระสงฆ์เป็นอารมณ์ก็ตาม แต่ที่สำคัญคือศีล5และมรณุสสติองค์ท่านเน้นเป็นพิเศษ

“คนทำบาปไว้มาก ไม่รักษาศีล5 เวลาตายมักมีคตินิมิตเป็นบาปที่เคยทำ เช่นเห็นแห อวน มีดปืน เห็นสัตว์ที่ตนฆ่า ทำให้จิตรู้แต่เรื่องบาป ตายแล้วย่อมไปตามคตินิมิตที่เห็น ดังนั้นให้รักษาศีล ทำแต่บุญกุศล ก่อนตายจะมีคตินิมิตที่ดี เห็นโบสถ์ เห็นพระพุทธรูป เห็นเทวดา เป็นต้น, กระนั้นก็เถอะ มรณุสสติพึงปฏิบัติ ระลึกไว้ ความตายที่จะมาถึงตน ต้องหัดตายก่อนตาย,กลางคืนเมื่อจะเข้านอนเราอาจต้องตายก่อนสว่างจะทำอย่างไร ระลึกไว้ มรณุสสติให้มีไว้”

การเทศน์ในวันนั้นได้ปัจจัยมาก ประชาชนที่มาฟังเทศน์ ต่างลงขันคนละเล็กละน้อยได้ปัจจัยทั้งสิ้นเกือบ2พันบาท แบ่งออกเป็น2ส่วน ถวายเจ้าคณะอำเภอเขื่องในส่วนหนึ่ง เฉพาะส่วนของหลวงปู่นั้นองค์ท่านยกให้วัดสวนตาลทั้งหมด
เงิน2พันบาทสมัยนั้นนับว่ามาก ด้วยว่าเงินเดือนครูประชาบาลก็แค่ 8 บาท,ครูใหญ่ 12บาท,ข้าวสารกระสอบละ9บาท(100กก)

อาหาเรปฏิกูล

ในเรื่องการขบฉัน หลวงปู่มักอบรมตักเตือนลูกศิษย์ให้มีความสำรวมระวัง รู้จักพิจารณาอาหารที่กำลังขบฉัน
อาหารที่ทั้งใหม่ทั้งสะอาดนั้นแท้จริงแล้วมีพื้นฐานมาจากความสกปรก
ประเภทพืชก็สกปรกมาแต่ก่อเกิดเอิบอาบด้วยของสกปรกที่เขารดให้ อีกทั้งพืชยังต้องกินขี้กินเยี่ยว, กินซากสัตว์, ซากศพคนตายที่เขาฝังจนเน่าเป็นอาหาร ที่เขาเรียกว่าปุ๋ย
ส่วนเนื้อสัตว์ย่อมปนเปมาทั้งเลือด น้ำหนอง ทั้งขื่น ทั้งคาว สัตว์บางชนิดก็กินซากเน่าเปื่อยของสัตว์ด้วยกัน สัตว์บางชนิดก็กินกระทั่งทรากศพคนตาย
ให้พิจารณาว่ามันไม่ใช่อาหารวิเศษวิโสอะไร ไม่ว่าจะปรุงแต่งจนน่ากินและอร่อยแค่ไหนก็ตาม มันก็มาจากความสกปรก

ตัวเราเองผู้กำลังกินก็แสนโสโครกสกปรกเหมือนกัน
กำหนดในใจเสมอว่า กินเพื่อให้สังขารดำรงอยู่ได้เท่านั้น เพียงเพื่อจะมีเรี่ยวมีแรงพอได้ประพฤติปฏิบัติต่อไป ไม่ได้ขบฉันให้ผิวพรรณร่างกายสวยงามหรือเพื่อความเอร็ดอร่อยแต่อย่างใด

ส่วนหลวงปู่เองท่านมีการขบฉันที่แปลกจากคนอื่น
ท่านฉันทีละอย่าง
ถ้าคำแรกเป็นข้าวก็จะฉันแต่ข้าวจนพอแล้วไม่กลับมาฉันข้าวอีก ต่อไปก็ฉันผักจนพอแล้วไม่กลับมาฉันผักอีก ฉันปลา ฉันเนื้อ ฉันน้ำพริก หรืออะไร ก็ฉันไปทีละอย่าง คะเนว่าอีก5คำจะอิ่ม ก็หยุดฉัน ดื่มน้ำเข้าไป อิ่มพอดี
ท่านตอบคำถามผู้สงสัยว่าที่ท่านฉันแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้มันเผลอไปติดรสชาติของอาหาร

อุบายสอนศิษย์
หลวงปู่ทองรัตน์สอนศิษย์แบบแปลก ทำตรงข้ามคำสอน
เช่นเรื่องการขบฉัน องค์ท่านเน้นพระวินัย เวลาฉันต้องสำรวมระวัง ฉันไปพูดไปไม่ควร ฉันมูมมามอย่าทำ มีเสียงดังขณะฉันก็ไม่ได้
เพื่อนของผมคนหนึ่งเคยบอกว่า บวชเป็นพระนี่ถ้าขาดสติเป็นอาบัติ สำหรับตัวเขาเองเพิ่งบวชใหม่กับหลวงปู่สิม อาบัติทั้งวัน แค่ช้อนกระทบบาตรดังแกร๊กขณะฉันก็อาบัติแล้วครับ

การขบฉันที่พระวินัยกำหนดไว้ นอกจากจะทำให้น่าดูแก่ญาติโยมแล้ว ยังเท่ากับเป็นธรรมข้อสติปัฏฐาน4น้อยๆอีกด้วย

หลวงปู่สอนลูกศิษย์อย่างนั้นแล้ว พอลงมือฉัน องค์ท่านกลับทำเสียงดัง โคล้งๆเคล้งๆ ข้าวหกเรี่ยราดออกนอกบาตร เวลาพูดกับโยมข้าวเต็มปาก ทำเหมือนลืมคำสอนที่เพิ่งสอนไป

ลูกศิษย์เห็นแล้วก็เงียบ คงมีบางรูปนึกตำหนิท่านในใจ
ท่านดักคอว่า
“ไหมล่ะ มัวแต่ยึดติดครูบาอาจารย์ ไม่ยึดติดในธรรมของตน”

เตือนตนไม่ให้ลืมว่าตนเป็นพระ
หลวงปู่สอนศิษย์เสมอว่าทุกอิริยาบถของตนให้ระลึกถึงศีล มันขาดไปบ้างไหม ศีลเศร้าหมองแล้วหรืออย่างไร ต้องรู้ตัวรู้ศีลที่ตัวล่วงละเมิด อย่าว่าแต่ศีลแม้อาบัติเล็กน้อยต้องระวัง ถ้าเป็นพระธุดงค์ล่วงศีลและอาบัติมีหวังเสือกัดหัวตายคาป่า ถ้าหากไม่ประพฤติปฏิบัติสำรวมระวังเรื่องศีลเรื่องอาบัติ กลับไปนอนเลี้ยงควายที่บ้านเถอะ อย่ามาบวชให้ผ้าเหลืองมัวหมองให้ต้องลงนรกกันหมดเลย นึกถึงว่าคนเขามีศรัทธาถวายข้าวปลาอาหาร แล้วควรไหมที่ตนเองกลับไม่ทำตนให้ควรค่าแก่ศรัทธาเขา ถ้าหากศีลเศร้าหมองแล้ว ต่อให้ภาวนาจนตายก็ไม่เห็นธรรม

ว่ากันว่าพระเณรกลัวองค์ท่านมาก ใครทำผิดต้องอาบัติเล็กๆน้อยๆท่านรู้หมด พอมาประชุมกันองค์ท่านจะทักท้วงตำหนิต่อหน้าคนอื่นให้ได้อาย ถ้ายังไม่ฟังถึงกับต้องตักเตือนกันบ่อยๆ ก็ไล่หนี ไม่ให้อยู่ด้วย
องค์ท่านว่าบวชมาแล้วไม่เคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่รู้จะมาบวชหาประโยชน์อันใด

บวชแล้วต้องปฏิบัติจึงเห็น
บางคราวหลวงปู่ทองรัตน์ก็ป่าวประกาศว่า ใครอยากเห็นพระอรหันต์กันไหม จะพาไปดู
คนบอกว่าอยากเห็นกันเยอะแยะ
องค์ท่านว่า
“ไปโกนหัวก่อน แล้วทำตามครูบาอาจารย์บอกทุกอย่างทุกประการ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วไม่เห็นพระอรหันต์ จะเอาหัวเป็นประกัน ถ้ามัวแต่เรียนท่องจำจากคัมภีร์ กอดแต่คัมภีร์ไม่มีทางเห็น อีกไม่นานคัมภีร์กองสุมหัวทับตายคาคัมภีร์”

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน