นิยายที่ไม่มีวันจบ

“นิยายที่ไม่มีวันจบ”

โดย อำพล เจน

วัฏจักรชีวิตของผมช่างเหมือนดาวหาง วันหนึ่งมันจะหวนกลับมา ช้าหรือเร็ว แล้วแต่วิถีโคจรของมัน จะเหมือนเดิมหรือเพียงแค่คล้ายก็สุดแต่จะเป็น

วันหนึ่งเคยปวดหัว อีกวันกลับมาปวดใจ

เคยร้องไห้ด้วยเรื่องหนึ่ง ต่อมาเรื่องครือๆกันอย่างนั้นก็ทำให้น้ำตาพรากแก้มอีกหน

นึกถึงวันเก่าๆซึ่งกำลังเอามาเป็นอารมณ์เขียนหนังสือ วันที่ฝนปรายละอองละเอียดปานออกมาจากกระบอกฉีดน้ำรีดผ้า ทนตากละอองฝนอย่างอุตสาหะเพื่อรอดาราดวงเด่นบนเวทีหมอลำลงมาหาขณะใจเต้นกระ ตึกกระตักอยู่ไม่รู้หยุด

ช่างซื่อบื้อชะมัด ไม่ยักรู้ว่าเธอลงมาหาเพราะสมเพชเวทนามากกว่าจิตปฏิพัทธ์

หนุ่มแกร่งที่เดินตามมายืนห่างๆอันผมไม่ทันได้สังเกตว่ามีเขาอยู่แถวนั้นด้วยต่างหากที่เธอทุ่มทั้งใจให้

ออกจะปวดแปลบไม่เบา หนุ่มห้าวคนนั้นเพิ่งลงจากเวทีมวยหลังน็อคผมในยกที่ ๑ และนี่เขายังตามมาน็อคผมที่เวทีหมอลำอีกหรือ

ในคืนเดียวระหว่างงานวัด ผมแพ้ทั้ง ๒ เวที

ไม่หรอก ยังมีระฆังช่วยผมได้ทัน

แม่ของเธอโผล่มาจากไหนไม่รู้

“อ้าว มาเหมือนกันรึ งั้นดีล่ะ ฝากน้องสาวเดินกลับบ้านด้วย ป้าจะกลับก่อน…อีนาง มึงกลับบ้านกับอ้ายเด้อ อย่าสิไปกับใครอื่น”

ความหวังของผมวูบระเรื่อขึ้นมา ยังมีอีกหลายยกหรอกน่า

แต่กระนั้นผมก็แพ้คะแนนหมดท่า หนุ่มแกร่งคนนั้นเดินกลับบ้านพร้อมเธอ โดยมีผมเล่นบททวยตื๋อ เดินไปเป็นก้างขวางคอตลอดทาง

เรื่องนี้ออกจะเหมือนนิยายสักหน่อย เมื่อบอกว่าเหมือนแล้วคงไม่ต้องแสดงรายละเอียดมาก เรามาดูกันที่ตอนจบดีกว่า

ต่อมาหนุ่มแกร่งคนนั้นก็เก่งขึ้นเรื่องๆและได้เป็นนักมวยชื่อเสียงดีมีค่าตัวสูง

เธอกลายเป็นหมอลำสาวขวัญใจคนเกือบทั้งภาคอีสาน มีเทปเพลงออกมาย้ำความเป็นขวัญใจหลายชุด

ผมล่ะ ของแน่ ตกต่ำสุดขีด ไม่มีงาน ไม่มีเงิน แม้เรียนจบมาแล้วตั้งปี

ในที่สุดก็แพ้สนิท เมื่อเขาและเธอแต่งงานกัน

ดาวหางพาดหางอยู่กลางฟ้าตั้งนานก็ถึงวันที่มันต้องโคจรจากไป

เรื่องมันน่าจบลงแต่ตอนนั้น

ทว่าสิบกว่าปีต่อมา ดาวหางดวงเดิมกลับมาใหม่ โดยที่ต่างก็แก่เฒ่าลงไปอีกคนละหลายปี

ผมพบเธอโดยไม่ตั้งใจในสวนอาหารแห่งหนึ่งตรงชานเมืองกรุงเทพฯ เธอกำลังตก เพราะมีดาวดวงใหม่เกิดขึ้นมาแข่งแสง ที่สุดประหนึ่งเป็นดั่งมอเตอร์ไซค์ถูกสิบล้อเบียดหล่นลงมาอยู่บนเวทีเพลงใน เพิงของสวนอาหาร แต่กับผมแล้ว บนเวทีนั้นเธอยังคงจรัสแสงกว่าดาวดวงไหน ที่มองยังไงไม่เห็นใครสวยเท่า

ดีอกดีใจ คนเก่ากลับมาพบกันใหม่ ถามไถ่ถามได้สารพัน คำตอบสั้นๆ

“เลิกกับมันแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“พอมันเลิกชกมวย ก็หันมาชกข้อยแทนน่ะอ้าย”

จากความบังเอิญอย่างไม่ตั้งใจมาเจอ กลายมาเป็นความจงใจไปเจอทุกวัน

บรรยากาศระหว่างเธอกับผมทำท่าว่าจะดี เพราะว่ามีไมตรีแต่ดั้งเดิมเป็นตัวสร้าง

แต่ดาวหางก็ยังคงเป็นดาวหางอยู่วันยังค่ำ อะไรที่ดีๆมันทำให้ไม่เป็น

วันหนึ่งอุปสรรคก็มาแสดงตัวในรูปของชายวัย ๕๐ ผิวขาว โอ่อ่า หน้าตาดี ทั้งยังแพรวพราวด้วยสร้อยทองเส้นโต นาฬิกาฝังเพชร รถยนต์บีเอ็มดับบลิวรุ่นล่าสุด

ทุกครั้งที่ชายผู้นี้มา สุริยาก็หรี่แสงลงเท่าแมงหิ่งห้อย ตัวผมลีบลงไปเรื่อยๆอย่างไม่มีใครช่วยได้

พอร้านปิด เธอขึ้นรถบีเอ็มดับบลิวไป

ผมมีเธอกลับบ้านด้วย แค่ในฝัน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงเธอไปกับเขาทั้งกายและใจ

เฝ่ามองไฟท้ายรถเก๋งรุ่นล่าสุดซึ่งมีเธออยู่บนนั้นกับเขาหายลับไปจากสายตา ทุกคืน รู้สึกเหมือนตัวเราเป็นอะไรที่คนเขาลืมทิ้งไว้ไม่มีหวังว่าเขานึกได้จะกลับ มาเอาคืน

เหมือนแผลเก่าที่นึกว่าหายสนิทแต่กลับอักเสบกลัดหนองอีกรอบ

เจ็บปวดรวดร้าวจนบรรยายไม่ถูก

โธ่…

เรื่องมันต้องจบเห่อีกแล้ว

แต่มันก็ไม่จบ เพราะว่าชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป แม้ว่าไอ้ที่แล้วดูคล้ายจะจบแล้วไปก็ตาม

เขาว่ากาลเวลาจะรักษาทุกสิ่ง ผมหวังว่ามันจะจริง

๓๐ ปีผ่านไป ว่องไวเหมือนโกหก

เสียงซอไม้ไผ่โอดมาแต่ไกล แท้จริงใกล้แค่นี้เอง แต่หูของคนหลังเกษียณฟังเหมือนไกลเป็นกิโล แคนยิ่งแล้วใหญ่ปานเสียงกระซิบ ทั้งไหซอง โปงลาง เบาไปหมด

ตั้งแต่กลับมาแก่เฒ่าอยู่บ้านเกิด มีวันนี้แหละที่คึกคักผิดไปจากทุกวัน แถมยังซู่ซ่าแบบแปลกประหลาด

โฆษณาประชาสัมพันธ์มาตั้งแต่หลายวันแล้วว่า วงแคนเอกที่เธอเป็นหัวหน้าคณะจะมาเปิดการแสดงที่วัดประจำหมู่บ้านคืนนี้ ถือว่านี่เป็นการย้อนกลับมาบ้านเกิดของเธอหลังจากย้ายยกทั้งครัวทั้งตระกูล ไปอยู่ที่อื่นตั้งนานสองนาน

แค่ฟังเสียงเขาซ้อมวงเรียกความสนใจแว่วมาแทบจะอยู่ไม่ได้ ใจมันแล่นไปจ่ออยู่หน้าเวทีเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว อารมณ์และความรู้สึกไม่ยักแก่เฒ่าตามสังขาร ต้องข่มไว้ ไม่งั้นเด็กมันจับได้จะว่าแก่แล้วไม่เจียม เฒ่าบ่สมเฒ่า ทำเป็นคึกให้โรคหัวใจกำเริบ แต่โรคหัวใจอีกแบบก็กำเริบจริงๆด้วย

นึกถึงหนังมนต์รักทรานซิสเตอร์ที่พวกผีๆลุกขึ้นมาร่วมร้องเพลง ไม่ลืม ไม่ลืม ไม่ลืม แล้วหัวใจพองเป่งคับอก

ช่างเหมือนหมาที่เจ้าของเขาหนีจากไปนานแค่ไหนยังไม่ลืม

ถ้าความจงรักภักดีอย่างนี้คือรักแท้ ผมมีมันแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

ชีวิตช่างเหมือนนิยาย

ไหนๆก็เป็นนิยายน้ำเน่าต้องเน่าให้สนิท

คิดถึงตอนจบเข้าไว้ เมื่อเมฆหมอกมันผ่านพ้นไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมแจ่มแจ้งจางปาง

คิดถึงการรอคอยซึ่งแท้จริงแล้วก็ดูไม่เหมือนการรอคอยที่ผลของมันจะหวานฉ่ำชื่นใจแค่ไหน

กี่ปีแล้วนี่

นึกถึงตอนสุดท้ายจะคุ้มค่าอย่างไม่อาลัยเวลา

ฟ้าร้องก้องกังวาน ลมแรงพักช่อมะม่วง อู้ๆมาแล้วไม่ตกจริง มีแต่เม็ดฝนหล่นเปาะแปะแล้วแผ่วหาย ฝนใหญ่ถูกลมหอบไปตกที่อื่น สักพักฟ้าใส ดาวขึ้นและพระจันทร์ข้างแรมก็แขวนเดียวคว่ำอยู่ปลายไม้

ถึงบัดนี้หมู่บ้านแทบร้าง คนเกือบทั้งหมด ทุกเพศทุกวัย ออกันอยู่หน้าเวทีหมอลำอันไฟส่องสว่าง และเห็นได้ถนัดชัดเจนว่าเธอกำลังเดินออกมา แปลกแท้ๆแค่แวบแรกที่เห็น หัวใจพลันเต้นไม่เป็นส่ำ

เธอออกมาอย่างมีค่าในฐานะครูเพลง อย่าว่าแต่ผมเลย แม้คนทั้งหมู่บ้านก็ภูมิใจทั้งเปล่งแสงจนดับดาวดวงอื่นไปสิ้น สวยไม่สร่างเลยสักน้อย

หนุ่มแกร่งสมัยโน้นที่ตอนนี้แก่เฒ่าไม่น้อยกว่าผม หนีบขวดเหล้าเดินมาจากตรงไหนไม่ทันสังเกต นั่งแปะลงข้างๆ

“ดูเมียเก่ากูสิ แก่น่าเกลียดเป็นบ้า มึงน่ะมองไม่ออกหรอก แต่กูรู้ว่าใต้แป้งพอกหน้าของมันน่ะเหี่ยวเหมือนบวบแห้ง จนป่านนี้ยังหาผัวเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ บุญกูแท้ๆที่เลิกกับมัน”

พูดแบบนี้น่าชวนขึ้นเวทีชกมวยแก้มือสักตั้ง ดีว่ามันลุกขึ้นส่ายหน้าหง่อกแง่กเดินกลับไปนั่งกับเมียใหม่ซึ่งตอนนี้ก็ เก่าพอๆกัน

ไอ้หมอนี่เป็นมารชนิดไหนไม่ทราบ ชอบมาทำให้ผมรู้สึกแพ้ในเวลาที่ผมหวังจะได้ชัย และเธอก็มองตามมันไปไม่วางตาอีกแน่ะ

อะไรไม่ว่าผมกลับเห็นแววตานั้นแวบแววประหลาด เหมือนขอนที่ไฟสุมอยู่นานจนนึกเชื่อว่ามอดสนิท แต่กลับลุกวาบขึ้นได้อีกเมื่อลมพัด

ทำให้เข้าใจความรู้สึกตนเองว่าเศร้าอย่างแท้จริง

เธอมองมาที่ผมหน่อยหนึ่ง หลังจากนั้นผมเหมือนคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในโลก ดั่งมีมนต์เป่าให้ผมหายตัวไป

หมอลำเลิกแล้ว เคียวจันทร์แรมหายไปจากฟ้า ดาวน้อยใหญ่ใสสว่างขึ้น แม้ดาวจะโดดเด่นเมื่อไม่มีวงเดือนแหว่ง ฟ้าคืนนี้ก็ไร้ความหมาย หากไร้แม้แค่เสี้ยวเดือน

หัวหน้าคณะจะกลับก่อน มีรถตู้เลี้ยวเข้ามาจอดรอ ผมเหม่อตามอย่างหงอยๆ เธอเดินตรงไปที่ประตูรถ หยุดชะงักนิดหนึ่งคล้ายเพิ่งนึกออก หันกลับมามองดูผมโดยไม่ต้องค้นหาและกวักมือเรียก

“ไม่เจอกันตั้งนานนะอ้าย ลูกเต้ากี่คนล่ะ ป่านนี้มีหลานออกมาเต็มบ้านเต็มเรือนแล้วมั้ง”

“ยังหรอก คนเราถ้าจะมีลูกได้น่ะจะต้องมีเมียก่อน”

เธออึ้งปานผีอำ จ้องตาผมแบบไหนไม่รู้ ทำอาการประหนึ่งว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่างที่ไม่เคยพูด แต่แล้วก็ถอนใจยาวดังเฮ้อ

ต่อจากนั้นได้แต่ดูไฟท้ายรถตู้จนหายลับไป

มีเสียงหมาทะเลาะกัดกันอยู่ใกล้ๆ เสียงคนเอ็ดหมา เสียงรถมอเตอร์ไซค์ แล่นออกไปเป็นสาย เสียงขี้เมาร้องลำอารมณ์ค้าง เสียงสมภารไล่เณรกลับไปจำวัด เสียงคนหนุ่มคนสาวหยอกล้อกันเป็นฝูง ทุกรูปแบบของชีวิตดำเนินไปตามเรื่องของใครของมัน

ดอกกันเกราโชยกลิ่นมาตามลม หอมชื่นใจ ลมเก่าๆที่พัดเข้าปอดแต่เฮือกแรกของการมีชีวิตยังพัดต่อไป ต่อเมื่อมันพัดเข้าลมหายใจไม่ได้นั่นแหละจึงจะเป็นวันจบสิ้นลม

เรื่องของผมจะลงเอยอย่างไร ยังจะมีใครอยากรู้

นิยายเรื่องนี้เห็นทีจะจบไม่ลง.

———————————————-

งานเขียนของคุณอาอำพล เจน
เรื่องสั้น / นิตยสาร สกุลไทย / ฉ. ๒๖๒๔
———————————————-

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน