เจอผีแขกกลางวันแสกๆ

เรื่องต่อไปนี้ยุติข้อสงสัยเด็ดขาด
 

 
ปี ๒๕๒๙ เฮียบัติ คลองตันชวนไปสุรินทร์ ก็เลยชวนสิงห์ตี๋ (วิทยา ศรีธัญรัตน์)ไปด้วย
 
เป็น ๓ สิงห์คะนองนา
ที่จะคะนองไม่ออกในเวลาต่อไป
 
 
รถไฟออกจากจากหัวลำโพงแต่เช้า
กระฉึกกระฉักถึงสถานีสุรินทร์ก็บ่ายๆ
 
หลังจากจากได้ที่พักโรงแรมอะไรจำไม่ได้แล้ว
ฉวยโอกาสที่เหลือก่อนมืดค่ำ
ออกเดินเที่ยวชมเมืองเสียหน่อย
 
เดินมั่วทั่วทีป ..จนเริ่มเมื่อยแข้งเพลียขา..เฮียบัตินึกอยากกินลาบน้ำตกซกเล็กขึ้นมา เอ่ยปากลอยๆว่าไปหาที่กินให้หายอยากกันเถอะ
 
สิงห์ตี๋เป็นคนเดียวที่เคยมาสุรินทร์ ..ขานรับว่า ..รู้จักลาบน้ำตกอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง
 
ขณะนั้นยืนอยู่หน้าประตูโขงวัดอะไรจำไม่ได้
แดดก็อ่อนแสงลงมากแล้ว
เรียกว่ากำลังจะเข้าเขตเวลาของผีแม่ลูกอ่อนออกมาตากผ้าอ้อม
 
“ผมว่าเดินทะลุวัดนี้ไปจะใกล้กว่าเดินอ้อมวัด” สิงห์ตี๋บอกอย่างกับผู้ชำนาญทาง
 
“งั้นมึงนำไป” เฮียบัติมีบัญชา
 
 
วัดกลางเมืองวัดนี้ มีพื้นที่ไม่ถึงกับกว้างขวาง
เพียงเดินทะลุประตูผ่านโบสถ์ไปนิดเดียว ก็เข้าเขตหลังวัดซึ่งเป็นผีป่าช้าซึ่งมีต้นไม้รกครึ้มพอสมควร
 
มีทางเดินเท้าเล็กๆคดเคี้ยวเลี้ยวซอกแซกผ่านหลุมศพแบบที่เขาก่อปูนตั้งอยู่บนพื้นดินปนเปกับหลุมชนิดฝังจมดิน เรียงรายอยู่ตลอด๒ข้างทาง
 
มองไปข้างหน้าทะลุแนวต้นไม้ซึ่งเป็นรั้ววัดตามธรรมชาติ
เห็นพื้นที่โล่งโจ้งเหมือนสนามฟุตบอลสว่างแจ้งลอดช่องโหว่ของต้นไม้พลอมแพลมอยู่ข้างหน้า
 
คะเนว่าไม่น่าจะเกินอีก ๕๐ เมตร ๓สิงห์คะนองนาก็จะเดินทะลุพ้นเขตป่าช้า
 
—-
 
บัดดล..แขกอินเดียรูปร่างสูงใหญ่มากๆ
โพกหัวขาวเหมือนแขกซิกส์
นุ่งชุดขาวทั้งตัว
โผล่พรวดมาจากไหนไม่ทราบ
 
แขกตัวใหญ่ผู้นี้เดินสวนมาบนทางเท้าเล็กๆที่ทุกคนจะต้องเดินแถวเรียงหนึ่งเท่านั้น
เขาเดินสวนมาแบบไม่สนใจว่ามีพวกเราที่กำลังจะเดินสวนกับเขาเช่นกันหรือไม่
 
สายตาเย็นชา มองข้ามหัวพวกเราตรงไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะเหลือบแล เหมือนไม่มีเราอยู่ในสายตา
 
ชายผ้าคลุมไหล่ปลิวกระพือเหมือนในหนังเลย
 
ไม่มีท่าทีว่าจะชะงักหรือจะหลบจะหลีกให้กันอีกด้วย
 
เราต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้
รีบก้าวเท้าหนีออกไปยืนนอกทาง
ให้แขกลึกลับเดินผ่านไป
 
ขณะผ่านก็เห็นถนัดตาว่าเราสูงแค่หัวไหล่แขกเท่านั้น
 
ตอนนี้แหละครับ ๓ สิงห์คะนองนา.. คะนองไม่ออก
 
แขกผู้นี้เดินผ่านหน้าจะๆโดยที่เท้าไม่ติดพิ้น…
 
พอถึงต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าก็หายวับไปกับตา
 
 
๓ สิงห์เงียบกริบ ก้มหน้าก้มตาเร่งฝีเท้า เผ่นออกไปให้พ้นผีป่าช้าพลัน
 
พอพ้นเขตวัดออกมา ไม่ทันจะหายตกใจ.. สิงห์ตี๋ก็ปากคอสั่น
 
” ขะ.. แขกน่ะนั่น.. ..ผมวะ..ว่า..”
 
“เออ..กูรู้ กูรู้ ” เฮียบัติตัดบทไม่ให้พูดต่อ
 
 
เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟังหลายคนหลายวาระ
 
มีบางคนวิจารณ์ว่าคนเราตาฝาดก็ได้
 
ซึ่งก็คงจะจริง..
 
ทั้ง ๓ คน ตาฝาดพร้อมๆกันเลย
 
 
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาแล้วหลายปี
สุรินทร์ก็กลายเป็นเมืองที่ไปมาบ่อยๆ
แต่กลับหาความแน่ใจไม่ได้ว่า วัดกลางเมืองอะไรกัน ที่เราเจอผีแขกกลางวันแสกๆพร้อมกันทีเดียวทั้ง ๓ คน
 
มีวัดหนึ่งชื่อว่าวัดชุมพล ที่พิจารณาดูแล้วใกล้เคียงกับวัดนั้นที่สุด (ไม่ฟันธง)
 
เจ้าถิ่นสุรินทร์เอ่ยปากว่า วัดชุมพลขึ้นชื่อว่าผีดุอยู่แล้ว คนสุรินทร์รุ่นเก่ารู้จักกันดี
 
มีคนรุ่นนั้นโดนผีหลอกอยู่วัดนี้นับไม่ถ้วน
 
 
ปัจจุบันเมืองเจริญ
 
ผีเชื่องไปเยอะ
 
คนเสียอีกที่ดุกว่าผี
อำพล เจน ; 3 ธันวาคม2559
แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน