เรื่องเล่าหลวงปู่พรหมา เขมจาโร: ลงเรือลำเดียวกัน

ครั้งหนึ่ง..ผมไม่ได้เอารถส่วนตัวไป
อาศัยรถประจำทาง

อยู่บนวัดผานางคอยประมาณ๕-๖วันก็จะจะกลับ

หลวงปู่บอกว่าจะเข้าเมืองด้วย

ก็กลับออกมาด้วยกัน ๒ คน (จำไม่ได้ว่าใครมาด้วยอีกหรือไม่)

การนั่งเรือขากลับออกจากวัดนั้นทารุณจิตใจมาก

เรือต้องแล่นทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก

ถ้าเครื่องเรือดับก็จบเห่ล่ะครับ

ช่วงที่เรือกำลังผ่านผาชันนั้นน่ากลัวที่สุด

เสียงเครื่องยนต์เรือสำลัก..เหมือนคนไอค่อกแค่ก

มองดูหน้าคนขับเรือ ก็ทำเอาเราใจเสีย

คนในเรือที่พอรู้จักว่าอะไรเป็นอะไรทีมันกำลังจะเกิดขึ้น.. หน้าซีดตัวสั่นกันเป็นแถว

หลวงปู่ล้วงบุหรี่ออกมาคีบไว้ในมือ ไม่ได้จุดสูบ

ผมก็นึกในใจว่าสงสัยหลวงปู่จะตื่นเต้นเหมือนกัน

เรือก็เริ่มเป๋ ไม่มีแรง ทำท่าจะเป็นเรือไร้หางเสือ เพราะควบคุมไม่ได้

หลวงปู่ก็จ้องไปที่คนขับเรือหรือจะจ้องเครื่องยนต์เรือก็พูดยาก
จ้องเหมือนทุกคนจ้องนั่นแหละครับ
ไม่ได้ลุกขึ้นมาทำท่าร่ายมนต์หรือทำปากขมุบขมิบ

เหมือนคนจ้องดูอะไรพร้อมๆกันเป็นปกติ

ในใจนึกขึ้นมาเอง.นึกแต่ว่าเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นกับครูบาอาจารย์หลายองค์มาก่อน
ได้ยินเขาเล่าว่าพวกท่านเหล่าก็ทำอภินิหารให้รอดกันได้

นี่หากว่าไม่มีอภินิหารแบบนั้น
หรือถ้าหลวงปู่ไม่ทำ
หรือทำแบบนั้นไม่ได้ กูตายแน่

มีหวังถึงเวลาของ “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน”
พูดง่ายๆก็คือ ตัวใครตัวมันนั่นแหละครับ

แต่ว่าเพียงเดี๋ยวเดียวก่อนเรือจะเป๋ข้ามไปฝั่งลาว เครื่องยนต์ก็กลับมาทำงานราบรื่นเป็นปกติ

ผ่านวิกฤตินั่นมาได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังจากนั้นจำใส่หัวไว้เลย ขากลับจำต้องอาศัยนั่งเรือที่สภาพดีหน่อย เครื่องยนต์ใหม่ๆสักหน่อย

เรือที่มีเครื่องยนต์ใหม่ก็มีอยู่ ๒ ลำ มั้ง จะกลับเข้าเมืองต้องนัดหมายเรือทั้งสองลำล่วงหน้า

ผมเล่าเรื่องนี้ ไม่ได้ชี้นำว่าเป็นอภินิหารของหลวงปู่

เพราะระหว่างเกิดเหตุก็ไม่ได้มีอะไรที่บ่งบอกชัดเจนไปในทางนั้น

หลวงปู่เองก็ไม่เคยพูดถึงเเรื่องนี้ในภายหลัง

แค่บันทึกว่ามีเรื่องลงเรือลำเดียวกัน
มีเรื่องตื่นเต้นร่วมกับหลวงปู่เท่านั้น

เมื่อเรือถึงท่าเรือบ้านสำโรงปลายทาง
ชายน้ำโขงตอนนั้นเป็นโคลนยาว ๒๐๐ กว่าเมตร
น้ำโขงเพิ่งลด ดินโคลนริมน้ำยังไม่แห้ง
เวลาเดินขึ้นตลิ่งจมโคลนถึงข้อเท้า
ลำบากมาก

หลวงปู่แบกย่ามที่ใส่อะไรไม่ทราบไว้ในนั้น
อัดแน่นจนตุง
เดินเซซ้ายเซขวา ยักแย่ยักยัน
ผมก็ปรี่เข้าไปขอย่าม จะให้ท่านเดินตัวเปล่า สบายกว่า

ท่านว่า

” ไม่เป็นไรลูก พ่อแบกได้”
“เอามาให้ผมน่ะพ่อ ผมแบก”
“เดี๋ยวลูกจะหนัก”

บอกได้คำเดียวว่าโคตรหนักเลยครับ
ย่ามใบนั้นทำเอาไหล่เอียงกระเท่เร่
ท่านแบกอะไรไปเยอะแยะและหนักขนาดนั้น

ผมก็ไม่ได้ถาม
ไม่เคยล้วงย่ามท่านดูว่ามีอะไร

แน่ใจได้ครับว่า
เมื่อท่านบอกว่า”เดี๋ยวลูกจะหนัก”นั้น

เป็นคำพูดที่จริงแท้ ไม่เสแสร้งแกล้งพูด

เรียกว่าไม่ได้พูดโดยมารยาทเลยครับ

นี่แหละคือลูกผู้ชายตัวจริง อายุ ๘๐ กว่า ชื่อพรหมา

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน