ก่อนจะถึงยุคเสื่อมนักเลงหนังเหนียว

ปี ๒๕๑๓ – ๒๕๑๕ ..ผมตามพี่ทวีพร ทองคำใบ ไปอยู่ที่วัดอนงคาราม วงเวียนเล็ก ..ไปเป็นเด็กวัดประจำ คณะ ๕ อยู่นาน ๓ ปี

สมัยนั้นนักเลงตีรันฟันแทงมีมากเป็นดอกเห็ดทั่วกรุงเทพฯ

แถวนั้นก็เอาเรื่อง.. ตั้งแต่วงเวียนใหญ่ยันคลองสาน ถึงย่านวงเวียนเล็ก มียกพวกตีกันเป็นประจำ

ลูกศิษย์วัดรุ่นพี่ก็เคยถูกนักเลงแถวหอนาฬิกาไล่ฟันจนเสื้อขาดรุ่งริ่ง วิ่งหนีเข้ามาในวัดอนงค์ แต่มีดดาบไม่เข้าหนัง

นักเลงยุคนั้นดุไม่แพ้ยุคปัจจุบัน แต่เรื่องตีรันฟันแทงของคนยุคนั้นกับยุคนี้ก็มีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง
นักเลงยุคนี้หนังเปื่อยยุ่ยไม่ค่อยเหนียวเหมือนคนรุ่นเก่า
อาจเพราะเหตุว่าถึงเวลาก้าวล่วงเข้าสู่สมัยเสื่อมพระเสื่อมเจ้า เสื่อมความนับถือครูบาอาจารย์ ที่ทุกวันนี้หาของจริงแท้ยากแล้ว

ถึงอย่างไรวงเวียนเล็กก็ยังดุไม่เท่าวงเวียนใหญ่

พี่สุพจน์ – คุมซอยสารภี วงเวียนใหญ่ แวะเวียนมาวัดอนงค์ฯบ่อยๆ

เพราะรักชอบกันกับพี่ชายผมคือคุณทวีพรเป็นอันมาก
เป็นเหตุให้คุณทวีพรได้ถือของขลังตามอย่างพี่สุจน์

ครูบาอาจารย์ของพี่สุพจน์ในเวลานั้นคือ อาจารย์เอิบ วัดดาวดึงส์
อดีตท่านเป็นนักเลงเป็นโจรขมังหนังเหนียว
หลบหนีการกวาดล้างของจอมพลสฤษดิ์ด้วยการเข้าบวชเป็นพระ
และอยู่ในผ้าเหลืองอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีใครรู้จักจนมรณภาพ (จำปีไม่ได้)

นักเลงสมัยนั้นหวงถิ่น ใครข้ามถิ่นเข้ามาไม่ถูกตีตายคาที่ก็คางเหลืองกลับไปหยอดน้ำข้าวต้มที่บ้าน

ใครเป็นนักเลงจะไปไหนมาไหนต้องระวังตัวแจ หูต้องไว ตาต้องไว ไม่งั้นไม่รอด

เมื่อถึงเวลาจะเปิดศึกกันก็ทำกันอย่างลูกผู้ชายแท้ ไม่มีระบบหมาหมู่รุมกัด ไม่เป็นนักเลงหน้าตัวเมีย

มีการนัดหมายดวลกัน ทั้งเดี่ยวและหมู่ อย่างเปิดเผย

อาวุธเลือกใช้ตามถนัด
แต่ไม่ใช้ปืน
ทั้งๆที่ปืนก็หาได้ไม่ยาก
จะยึดถือว่าเป็นประเพณีนักเลงหรือเปล่าไม่ทราบชัด
ถ้าจะนัดยกพวกตีกันเมื่อไหร่ เห็นว่าเอาแค่ มีด ดาบ ปังตอ เหล็กขูดชาร์ฟไปสู้กัน

ของมีคม ของมีปลายแหลม ทั้งนั้น

พี่สุพจน์ปกติใช้เคียวเกี่ยวข้าว ลับจนคม
เกี่ยวท้องที ถ้าไม่เหนียวจริงไส้ทะลัก
ตายก็มี รอดทันถึงมือหมอโรงพยาบาลก็มี
แล้วแต่ดวง

พี่สุพจน์ขึ้นชื่อเรื่องหนังเหนียว
คนอื่นๆก็มีหนังเหนียวหลายคน
เวลานั้นมีอาจารย์เหนียวอยู่หลายสำนัก
ใครเชื่อถือบูชาอาจารย์ใครก็อาจารย์มัน
ถึงเวลาสู้กัน ใครเหนียวน้อยกว่า หนังเปื่อยยุ่ย ก็แพ้เลือดสาดบาดเจ็บล้มตายไป

แต่อาจารย์เอิบวัดดาวดึงส์นั้นแน่นอนจริงไม่แพ้ใคร

พี่สุพจน์ไม่เคยเสียเลือดให้คมอาวุธนักเลงหน้าไหนในทุกศึก

ของขลังชิ้นหนึ่ง เป็นกะลามะพร้าวตาเดียว
ถูกทำขึ้นในระหว่างสุริยคราสจันทคราส โดยทำเป็นรูปราหูอมจันทร์อมอาทิตย์
ทำด้วยมืออาจารย์เอิบ วัดดาวดึงส์เอง
ซึ่งพี่สุพจน์มอบให้พี่ทวีพรเอาไว้คุ้มตัว

ฝีมือแกะลายราหูสวยมาก ด้านหลังเขียนตารางลงอักขรยันต์ด้วยดินสอดำ

พี่ทวีพรก็พกติดตัว ทั้งบู๊ทั้งลองเชือดลองฟันท้องแขนตนเองโชว์ให้คนที่อยากรู้อยากเห็นว่าหนังเหนียวนั้นมีจริงไหม

ต่อมาพี่ทวีพรได้มอบให้กับผม เพราะเห็นว่าช่วงนั้นกำลังเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน
ยุคนั้นมีข่าวเรื่องตีกันให้พี่เขาได้ยินบ่อยๆ
และพี่เขาก็มีของขลังของอาจารย์เอิบอีกหลายชิ้นที่รับสืบทอดจากพี่สุพจน์ จึงไม่หวง

กะลาราหูอมจันทร์ชิ้นนั้น ปัจจุบันอยู่กับอาจารย์อนันต์ สวัสดิสวนีย์
ผมได้มอบให้อาจารย์อนันต์ไปตั้งแต่สมัยที่รู้จักอนันต์ได้ไม่นาน ประมาณปี ๒๕๒๘
เพราะเห็นว่าอาจารย์อนันต์ชอบเครื่องรางประเภทราหูเป็นอันมาก

ทุกวันนี้จะยังอยู่หรือไม่ ต้องให้ผู้รู้จักอาจารย์อนันต์ลองๆเลียบเคียงถาม

ไม่แน่ว่าบางทีจะยังอยู่หรือไม่ก็ลืมไปอีกแล้วไม่รู้

จำได้ว่าราวปี ๒๕๓๒-๒๕๓๔ อาจารย์อนันต์เคยเอากะลาราหูอมจันทร์ชิ้นนี้มาถามผมว่าเป็นของใครเพราะลืม

ผมก็บอกไปอีกครั้งว่าของอาจารย์เอิบ วัดดาวดึงส์

หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดถึงกะลาราหูนี้อีกเลยจนปัจจุบัน

—-

(ภาพประกอบยืมมาจาก khundech.com เป็นกะลาราหูของญาท่านสวน วัดนาอุดม)

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน