พระปิดตาแร่บางไผ่

พระปิดตาแร่บางไผ่
หลวงปู่จัน วัดโมลี
———

มีผู้ศรัทธาท่านหนึ่งได้สละปิ่นปักมวยผมออกขายนำเงินมาสร้างวัด เป็นเหตุให้ได้ชื่อว่าวัดโมลี และใช้ปิ่นปักมวยผมเป็นสัญลักษณ์ของวัดมาตลอดจนทุกวันนี้ วัดโมลีได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2461 เขตวิสุงคามสีมากว้าง 30 เมตร ยาว 60 เมตร และได้ผูกพัทธสีมาประมาณ พ.ศ. 2467 ในหนังสือ “ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เผือก” ซึ่ง พ.จ.อ.เชื้อ จุลพันธ์ เรียบเรียงไว้เมื่อพ.ศ. 2510 ได้กล่าวไว้ว่า วัดโมลีสร้างขึ้นในราว พ.ศ. 2369 ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยเจ้าอาวาสรูปแรกมีชื่อว่า เถื่อน ซึ่งต่อมาได้ลาสิกขา และเจ้าอาวาสวัดรูปที่ 3 นั้นเอง ที่สร้างชื่อเสียงเรียงนามให้กับวัดโมลีแห่งนี้ ซึ่งก็คือ หลวงปู่จัน

กล่าวว่าหลวงปู่จันเป็นพระภิกษุชาวเขมรที่ธุดงค์ผ่านมาจำพรรษาที่วัดโมลี กระทั่งได้เป็นเจ้าอาวาสวัดในที่สุด หลวงปู่จัน ชอบเล่นแร่แปรธาตุ เพื่อหาธาตุโลหะอันศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งในที่สุดเมื่อท่านค้นพบ “แร่บางไผ่” อันเป็นแร่เหล็กชนิดหนึ่ง จึงได้นำมาสร้างเป็นองค์พระภควัม หรือ พระปิดตาแร่บางไผ่ในลักษณะที่ปิดทวารทั้ง 9 หรือที่เรียกกันว่า พระปิดตามหาอุตม์ เป็นพระปิดตาที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว 

พระปิดตาแร่บางไผ่ จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นยอดพระเครื่องในตำนาน พระปิดตามหาอุตม์ ไม่เพียงแต่เป็นพระปิดตาที่ปั้นหุ่นทีละองค์ เส้นสายต่างๆ ตลอดจนขนาดจึงไม่เท่ากัน แต่จะมีความละม้ายคล้ายคลึงกัน เพียงพบว่าองค์ใดองค์หนึ่งเหมือนกันชนิดถอดพิมพ์ออกมาแล้ว ยืนยันได้ทันทีว่า 1 ในนั้นเป็น พระเครื่อง ของปลอมองค์หนึ่งอย่างแน่นอน

ประวัติพระปิดตา : พระปิดตามหาอุตม์รูปลักษณะของ พระปิดตาแร่บางไผ่หลวงปู่จัน วัดโมลี จ.นนทบุรีเป็นรูปองค์พระปิดตาลอยองค์เด่นสง่างดงามด้วยเส้นสาย ด้านหน้ายกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นปิดพระพักตร์ และอีกคู่หนึ่งล้วงลงมาปิดทวาร แต่ชนิดที่ยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์เท่านั้นก็พบเช่นเดียวกัน ตรงบริเวณพระอุระ (อก) มียันต์กำกับแบบเส้นกลม เส้นสายเป็นแบบเส้นขนมจีนวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตรงพระอุระนี้เป็นจุดเอกลักษณ์ของพระปิดตาหลวงปู่จัน จะปรากฏว่ายันต์ “นะ” ที่ปรากฏเป็นรูปคล้ายตัว “S” หรือเลข “8” วิ่งม้วนหางขึ้นไปเป็นอุณาโลม ยันต์ดังกล่าวนี้ เรียกกันว่า ยันต์นะมหาอุตม์ ส่วนในด้านหลังจะเต็มไปด้วยเส้นสายของยันต์อักขระเป็นเส้นนูนหนา วิ่งไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตั้งแต่พระเศียรจรดส่วนด้านล่างองค์พระปิดตา นอกจากนี้ ในส่วนด้านหลังอาจพบทำปิดหน้าปิดหลัง หรือแบบพิมพ์สองหน้า กระทั่งพิมพ์สามหน้าก็มีพบ ที่ไม่ปรากฏเส้นยันต์เลยก็มีเช่นกัน จุดอ่อนประการหนึ่งของ พระปิดตาแร่บางไผ่ อยู่ตรงความเปราะบางของโลหะจึงตกไม่ได้ เพราะอาจกระเทาะแตกได้ ซ้ำเนื้อแร่บางไผ่ เป็นแร่ที่สนิมกินตัวเอง หากไม่ชโลมน้ำมันจันทน์ให้ดี เนื้อพระอาจเกิดสนิมกินตัวจนหมดสิ้นได้ อย่างไรก็ตาม พระปิดตามหาอุตม์ในด้านหลังองค์พระปิดตาที่ปรากฏเป็นเส้นอักขระยันต์นั้น เป็นยันต์ “เฑาะว์ขัดสมาธิ” อยู่ตรงกลางยันต์แถวล่างคือ “นะ มะ พะ ทะ” อันเป็นหัวใจของธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

พระปิดตาแร่บางไผ่ หลวงปู่จัน แบ่งแยกได้เป็นพิมพ์ต่างๆ ที่เล่นหาสะสมกันในวงการ ดังนี้
1. พระปิดตาแร่บางไผ่ พิมพ์เศียรตัด
2. พระปิดตาแร่บางไผ่ พิมพ์หมวกแก๊ป
3. พระปิดตาแร่บางไผ่ พิมพ์เศียรเงาะ
4. พระปิดตาแร่บางไผ่ พิมพ์ฐานสูง
5. พระปิดตาแร่บางไผ่ พิมพ์สามหน้า
6. พระปิดตาแร่บางไผ่ พิมพ์สองหน้า
7. พระปิดตาแร่บางไผ่พิมพ์เศียรโต

พระปิดตามหาอุดแร่บางไผ่ ซึ่งเรียกขานกันตามลักษณะรูปทรงของพระปิดตาเป็นส่วนใหญ่ ในด้านการพิจารณา พระปิดตาแร่บางไผ่ในองค์ที่ยังไม่ผ่านการใช้จะพบว่า มีสนิมเหล็กสีแดงเกาะหุ้มหนาตลอดองค์ ตามซอกมุมลึกมักพบว่ามีเศษดินสีดำ ซึ่งเป็นดินเบ้า เนื่องจากไม่ได้ทำการพอกขี้วัว จึงพบว่าผิวองค์พระจะไม่เรียบตึง จะเป็นริ้วรอยย่นบ้าง เป็นจุดหรือรูพรุนบ้าง พุทธคุณพระปิดตาแร่บางไผ่ เด่นด้านคงกระพัน มหาอุด แคล้วคลาดอันตรายต่างๆ พระปิดตาแร่บางไผ่ปรากฏเส้นเสี้ยนเป็นขี้แร่ที่หลอมไล่ออกไม่หมด เป็นเส้นนูน บางองค์อาจจะไม่พบเสี้ยน แต่ถ้าส่องกล้องดูบริเวณรอยตัดของเศียรจะปรากฏว่าเสี้ยนหลบมุม ที่สำคัญพระปิดตาแร่บางไผ่ ดูดติดกับแม่เหล็ก

CR : คอลัมน์มุมพระเก่า สรพล โศภิตกุล หนังสือพิมพ์ ข่าวสด


 

 

พระปิดตาหลวงปู่จัน วัดโมลีหรือที่เราคุ้นหูกันในนาม ” ปิดตาแร่บางไผ่ “ นั้นเป็นพระที่หายากมาก ๆ เพราะมีการเล่นหามาตั้งแต่สมัยโบราณ

อาจารย์ “เซีย บุษปะบุตร” นักเล่นรุ่นเก่าท่านนึงซึ่งถือว่าท่านเป็นปรมาจรย์ของวงการพระเครื่องของเมืองไทยและท่านยังเป็นนักนักสะสมพระเครื่องในยุคแรกๆของเมืองไทยจนเป็นที่รู้จัก อีกทั้งท่านยังเป็นครูบาอาจารย์ของผู้หลักผูใหญ่ในวงการพระเครื่องในยุคปัจจุบันอีกหลายๆท่าน นักเล่นรุ่นเก่าจะรู้จักและเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านเป็นอย่างดี อาจารย์เซียท่านนี้เคยพูดถึงพระปิดตาแร่บางไผ่ไว้ว่า ในสมัยที่ท่านเริ่มศึกษาและสะสมพระเครื่องใหม่ ๆ ราวปีพ.ศ.๒๔๕๓ ในสมัยนั้นพระปิดตาแร่บางไผ่ได้รับความนิยมกันและมีชื่อเสียงมานานแล้วอีกทั้งยังมีการเช่าหากันตั้งแต่สมัยนั้นแล้วด้วย เนื่องด้วยมีพุทธคุณและประสบการณ์ทางด้านมหาอุตม์และคงกระพันชาตรีสูงมาก”

ในช่วงก่อนปีพ.ศ.๒๕๐๐พระปิดตาแร่บางไผ่มีความนิยมสูงมากสนนราคาแพงกว่าพระสมเด็จวัดระฆังซะอีก แต่ถัดมาพระปิดตาแร่บางไผ่มีความหายากมากขึ้นจึงทำให้หลายๆท่านเกิดถอดใจที่จะค้นหา ยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญก็ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ฉะนั้นท่านใดที่สนใจควรเช่าหาจากผู้ที่มีความรู้ความชำนาญทางด้านนั้นจริง ๆ

สำหรับประวัติของท่านนั้นไม่มีใครทราบแน่ชัด มีก็แต่เพียงตำนานเล่าขานกันว่าท่านเป็นพระธุดงชาวค์เขมรและมาพักกลดอยู่ที่วัดแห่งนี้ หลวงปู่จันท่านเป็นพระยุคเก่าที่แก่กล้าวิชาอาคมเป็นอย่างสูงอีกทั้งท่านยังชอบเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มที่มีวิชาอาคมในยุคนั้น ซึ่งหลวงปู่จันท่านนี้นั่งสมาธิเข้าฌาณและรู้ว่าที่ตำบลบางไผ่นั้นมีแร่เหล็กชนิดหนึ่งซึ่งเป็นแร่ที่มีชีวิตและมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเหรียญเทียบพอๆกับเหล็กไหลได้เลย จากนั้นท่านก็ดูฤกษ์ยามจนเหมาะสมและก็นัดแนะให้ลูกศิษย์ของท่านให้จัดเตรียมเรือและอุปกรณ์เพื่อที่จะไปจับหรือขุดแร่ชนิดนี้

แต่เมื่อไปถึงท่านก็บอกกับลูกศิษย์ว่า “เรามาไม่ทันแล้วแร่พวกนี้มันมีชีวิตและมันไหวตัวทันหนี้ไปก่อนแล้ว เหลือทิ้งไว้ก็แต่เพียงขี้แร่” และท่านก็พูดต่อว่าได้ขี้ของมันก็ยังดี เดียวเอาไปเพาะเลี้ยงที่วัดก็ใช้ได้

ท่านจึงขนขี้แร่เหล่านั้นกลับไปที่วัดของท่าน และเขาขี้แร่ใส่ไว้ในโอ่งเลี้ยงด้วยน้ำคาวปลาจนแร่พวกนั้นเจริญเติบโตจนสามารถใช้การได้

จากนั้นท่านจึงนำมาแร่เหล็กเหล่านั้นมาถลุงเพื่อสร้างพระปิดตาของท่าน ส่วนกรรมวิธีการสร้างนั้นท่านจะปั้นหุ่นเทียนขึ้นที่ล่ะองค์ และทำการเทแบบหล่อโบราณ ซึ่งกว่าจะสร้างได้แต่ล่ะองค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทำให้พระปิดตาของท่านนั้นมีจำนวนไม่มากอาจจะแค่หลักร้อยหรือไม่เกินหลักพันต้น ๆ (ตำบลบางไผ่ที่หลวงปู่จันท่านไปจับแร่นั้น ในปัจจุบันก็คือบริเวณ ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรีครับ)

วัตถุมงคลและพระเครื่องของท่านสร้างในราวประมาณปีพ.ศ.2420-2436 ครับ โด่งดังในยุคต้นๆนั้นก็คราวเกิดกรณีพิพาษกับฝรั่งเศสในเหตุการณ์ ร.ศ.112 ที่ปากน้ำสมุทรปราการ เหตุการครั้งนั้นทำให้ไทยเราต้อเสียดินแดนไปหลายส่วน

ครั้งนั้นคนนนท์ซึ่งไปประจำการณ์อยู่ที่ป้อมพระจุลฯต่างก็ห้อยพระปิดตาแร่บางไผ่กันเกือบทุกคน ต่างก็ประสบเหตุการณ์เกี่ยวกับพระปิดตาแร่บางไผ่ทางด้านคงกระพันชาตรีจนเป็นที่ ประจักษ์แก่สายตาผู้ที่พบเห็นในขณะนั้น

และหลังจากเหตุการณ์ร.ศ.112 สงบลงผู้คนที่ทราบข่าวเรื่องอานุภาพของพระปิดตาแร่บางไผ่ต่างก็แห่มาหาหลวงปู่จัน วัดโมลีกันอย่างล้นหลาม บ้างก็มาขอพระปิดตา บ้างก็มาขอเครื่องรางของขลังหรือไม่ก็ให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ครับ และที่โด่งดังของหลวงปู่จัน วัดโมลีอีกอย่างนึงก็คือน้ำมันจันหรือน้ำมันงาซึ่งท่านจะใช้แช่พระปิดตา เนื้อแร่ของท่านเพื่อไม่ให้มันกินตัว คนโบราณส่วนมากถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่พกพระปิดตาของทานออกไป เพียงแค่เอาน้ำมันของท่านจุ่มสำลีและเสยผมก็เป็นคงกระพันแล้ว

มีตำนานเล่าว่าเวลาชนไก่หรือตีไก่กัน ถ้ารู้ว่าคู่ต่อสู้ทาน้ำมันแร่บางไผ่ของหลวงปู่จัน วัดโมลีมาจะไม่มีใครยอมลงตีด้วยเลย เพราะไก่ตัวนั้นจะเป็นคงกระพันและหนังเหนียวมาก ๆ คมปากของคู่ต่อสู้ไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้เลย

สำหรับพระปิดตาแร่บางไผ่นั้นถือว่าเป็น 1 ในเบญจภาคีพระปิดตาเนื้อโลหะที่หายากมาก ๆ ซึ่งสนนราคาค่าเช่าหากันถึงหลักล้าน

หลวงปู่จัน วัดโมลีท่านนี้ยังเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อทับ วัดทอง ขนาดหลวงพ่อทับ วัดทองท่านยังต้องผสมแร่บางไผ่เพื่อเป็นชนวนในการหล่อพระปิดตาของท่านทุกองค์

พระปิดตาแร่บางไผ่ถือว่าเป็นพระที่หายากมาก ๆ และมีการนิยมเช่าหากันมานานตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่2 และในช่วงราวปีพ.ศ.2490-2500ต้น ๆ นั้นเป็นช่วงที่พระปิดตาแร่บางไผ่ HOTสุดขีด ถึงขนาดที่ว่าเอาสมเด็จวัดระฆังมาแลกยังไม่ยอมเลยครับ

แต่มาถึงในยุคปัจจุบันพระปิดตาแร่บางไผ่หายากขึ้น มีหมุนเวียนในวงการเป็นจำนวนน้อย ทำให้เซียนพระรุ่นใหม่ ๆ ไม่ค่อยได้เห็นของเลยไม่ค่อยมีคนดูเป็นกันทำให้หาคนที่เป็นจริงๆนั้นยากมากๆ ในวงการพระนั้นของแท้ๆนั้นนับองค์ได้เลยครับ

สำหรับพุทธคุณของพระปิดตาแร่บางไผ่นั้นจะโดเด่นมาก ๆ ทางด้านมหาอุตและคงกระพันชาตรีครับ ท่านเคยสั่งกับลูกศิษย์ของท่านไว้ว่า”ถ้าหากถึงยามขับขันจวนตัวประเภทแบบ 10 รุม 1 ให้กลืนพระของท่านไปเลยแล้วจะสามารถล่องหนหายตัวแหวกวงล้อมนั้นมาได้” ส่วนเวลากลืนพระของเข้าไปแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรให้พระออกมาได้ท่านก็บอกว่า ก่อนนอนให้นำผ้าขาวมาปูที่หมอน จุดธูปเทียนพร้อมดอกไม้และให้ระฤกถึงท่านตอนเช้ามาจะเจอพระปิดตาของท่านจะ ออกมาที่ข้าง ๆ หมอนเองอย่างอัศจรรย์ ท่านพูดว่าพระของท่านไม่ออกทางทวารหนักอยู่แล้ว เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงไม่ใช่นิทานหรอกเด็ก เนื่องจากผู้คนต่างเล่าขานกันมาช้านานเป็นร้อยๆปีครับ

พระองค์นี้เป็นพิมพ์หมวกแก๊ป จัดว่าเป็นพระที่ดูง่ายมาก ๆ น้ำหนักประมาณ 3 สลึง มีเสี้ยนวิ่งเต็มทั้งองค์ อีกทั้งยังลงในหนังสือพระปิดตายอดนิยมหลายเล่ม สำหรับค่านิยมในปัจจุบันก็ประมาณหลักแสนถึงล้านกว่าบาทหรือแล้วแต่สภาพองค์นี้เป็นองค์ที่ผมใช้ประจำตัวไม่ได้ขายครับ

CR : อ้วนพระราม5 ชมรมพระเครื่องจังหวัดนนทบุรี

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน