ปรกร่มเย็นกับหัวใจพุทธคาถาวันโลกดับ

เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว มีนักเขียนท่านหนึ่งแวะมาเยี่ยมเยียนผมถึงที่บ้านห้วยไผ่ เมืองอุบลฯ
นักเขียนสองคนเจอกันก็มีแต่จะคุยกันออกรสเท่านั้น

เรื่องคุยก็สุดพิสดารพันลึกตามแต่ใครจะนึกออกมาคุยสู่กัน

มีเรื่องเหาะเหินเดินอากาศดำน้ำมุดดินกันบ้างก็อย่าถือสา

พูดถึงมุดดินแล้ว อยากให้มามุดดินสวนผมเพราะว่าไม่ได้พรวนดินมาหลายปี บางทีสวนแห้งผากจะกลายเป็นแปลงเกษตรตัวอย่าง ใครจะรู้

ยกตัวอย่างเรื่องคุยของนักเขียน

“มีป้ายแผ่นหนึ่งติดอยู่ในโรงพยาบาลในประเทศแคนาดา”
“ป้ายห้ามคนจนเข้าโรงพยาบาลล่ะซี”
“โน, ป้ายอันนี้ติดอยู่ในโรงพยาบาลแห่งรัฐ คนจนย่อมเข้าได้”
“ป้ายอะไร”
“ป้ายที่แฝงคติธรรมยิ่ง”
“ว่าไป”
“ป้ายนั้นเขียนไว้ปลอบใจคนป่วยว่า
ถ้าคุณป่วยก็มีสองอย่างคือ รักษาได้หรือไม่ได้
รักษาได้จะห่วงอะไร
ถ้ารักษาไม่ได้ก็มีสองอย่างคือ หายหรือไม่หาย
ถ้าหายจะห่วงอะไร
ถ้าไม่หายก็มีสองอย่างคือ ตายหรือไม่ตาย
ไม่ตายจะห่วงอะไร
ถ้าตายก็มีสองอย่างคือ ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก
ขึ้นสวรรค์ก็ so what? จะห่วงอะไ
ถ้าลงนรกก็ไม่ต้องห่วงอะไรเหมือนกัน
เพราะคุณจะพบเพื่อนเยอะแยะเลย”

บ้าดีไหมครับ

แต่เรื่องที่ค่อนข้างจริงจังก็ย่อมมีเหมือนกัน ซึ่งเมื่อนักเขียนด้วยกันฟังแล้วก็จะบอกกันว่าเรื่องนี้ควรเอาไปเขียน หนังสือ และต้องเขียนให้เหมือนที่คุยกันด้วย

คือเขียนเหมือนที่ได้เล่าให้ฟังตามลำดับขั้นตอนอย่างนั้นเลย

เรื่องจริงจังที่ว่านี้คือเรื่องพุทธคาถาวันโลกดับ

จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของเรื่องนี้เป็นเมื่อไหร่ผมก็เลือนไปแล้ว เพราะว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนานมาก คือผมได้อ่านหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง จะเป็นหนังสืออะไรก็ลืมไปแล้วเช่นกัน ในหนังสือนั้นได้กล่าวถึงการเดินทางไปประเทศอินเดียของคณะทูตไทยคณะหนึ่ง เพื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียมาประดิษฐานในเมืองไทย ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นคราวที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานบนพระ มหาเจดีย์ภูเขาทอง ในวัดสระเกศหรือเปล่า คลับคล้ายว่าจะเป็นคราวเดียวกันนี้แหละครับ

หนังสือเล่มนั้นได้บอกว่าคณะทูตดังกล่าวได้คัดลอกข้อความที่น่าสนใจจากศิลา จารึกแผ่นหนึ่งในวัดเชตวันวิหารหรือวัดแห่งแรกในพุทธศาสนากลับมาเผยแพร่ใน เมืองด้วย

โดยข้อความสำคัญนี้ได้ลงชื่อผู้จารึกว่าเป็นพระอานนท์

พระอานนท์ เป็นพุทธสาวกองค์สำคัญที่มีบทบาทในการสังคายนาพระไตรปิฎกแต่ครั้งพุทธกาล
จารึกนั้นอ้างว่าเป็นการจารึกพุทธดำรัส อันพระพุทธองค์ทรงปรารภไว้แต่ครั้งยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ท่านตรัสว่า…..

“มหาภัยอันหนึ่งจะเกิดแก่โลกยุคกึ่งพุทธกาล โลกจะสว่างไสว 7 วัน 7 คืน มืดสนิท 7 วัน 7 คืน คนตายกันมาก พวกผิวขาวจะแพ้ภัยแม้ผู้ศรัทธาในพุทธศาสนาก็ใช่จะพ้นภัยหากแต่จะทุเลาเบา บางกว่าผู้อื่น วิบัติแล้ว จะกลับมารุ่งเรืองก่อนเสมอ คถาคตไม่รู้จะช่วยเหลืออุบาสก อุบาสิกาอย่างไร บอกจากจะให้คาถาไว้ท่องบ่นยามมีภัย หรือจดใส่ผ้าหรือแผ่นโลหะโพกหัวไว้”

มหาภัยที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นี้ น่าเชื่อว่าจะเป็นสงครามนิวเคลียร์

ถ้าไม่ใช่สงครามนิวเคลียร์ก็ต้องเป็นอะไรที่ใหญ่โตขนาดที่ว่าทำให้คนทั้งโลกตายกันเป็นเบือได้

พุทธคาถาที่พระองค์ทรงให้ไว้มีดังนี้
“ทิตะศิราทันมันทะ โลกะลีลากะ ละลาสติโป จะติโหคะหะตะเน”

ผมก็ไม่ทราบว่าเป็นภาษาอะไร บาลี, สันสกฤต หรือมคธก็ไม่ทราบ จะแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบอีกเหมือนกัน

แต่ผมจำพุทธคาถาบทนี้ได้แม่นยำที่สุดอย่างชนิดไม่เคยลืม

กระทั่งถึงปีที่อิหร่านรบกับอิรัคครั้งแรก ดูเหมือนจะเป็นราว ๆ ปลายปี 2533 มีการเผาบ่อน้ำมันหลายบ่อ จนเกิดควันดำพวยพุ่งคลุมท้องฟ้า ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากภาพถ่ายดาวเทียม วงกลุ่มควันขยายตัวเป็นวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ พื้นที่บางแห่งที่กลุ่มควันลอยไปถึงก็มองไม่เห็นพระอาทิตย์

ผมก็เริ่มกลัว

คือกลัวว่ามหาภัยที่พุทธงค์ตรัสไว้ในศิลาจารึกวัดพระเชตวันวิหารอาจเป็นครั้งนี้

ผมลงมือเขียนพุทธคาถาบทนี้ลงในแผ่นทองแดง เขียนเป็นอักขรธัม จำนวน 36 แผ่น เท่าจำนวนญาติพี่น้องของผมเอง

ม้วนเป็นตะกรุดแล้วฝากเพื่อนที่จะไปกราบหลวงปู่คำพันธ์ใ ห้นำตะกรุดทั้งหมดนี้ถวายหลวงปู่คำพันธ์เสกให้ผมด้วย

เรื่องแปลกใจก็เกิดขึ้น

เพื่อนผมกลับมาเล่าให้ฟังว่า พอเอาตะกรุดถวายหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า
“ตะกรุดนี้ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเสกก็ได้”

แต่ท่านอนุโลมเป่าให้เพราะเพื่อนผมขอร้องให้ท่านทำ

ผมฟังแล้วก็งง ๆ ไปขณะหนึ่ง
ผมจะเอาปัญญาที่ไหนไปเสกตะกรุดด้วยตนเอง จนหลวงปู่ท่านบอกว่าตะกรุดนี้ดีอยู่แล้วได้อย่างไร

หลังจากนั้นผมก็นำตะกรุดทั้งหมดฝังลงในพระพิมพ์ที่ดัดแปลงจากพระผงสุพรรณ หน้าแก่ครบจำนวน 36 องค์ ใช้ผงอังคารธาตุล้วน ๆ ของ หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ดูลย์ อตุโล และ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ แล้วนำไปถ้ำผาปล่องเพื่อขอ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ปลุกเสกให้ ท่านก็ให้เอาไว้ที่ถ้ำผาปล่องรอเข้าพิธีปลุกเสกรูปเหมือนเท่าองค์จริงของ ท่านที่จะประดิษฐานไว้ประจำถ้ำผาปล่อง

พระชุดนี้เลยมีวาสนาพิเศษ เพราะท่านเสกพร้อมกับรูปท่านที่จะแทนตัวท่านตลอดกาล แม้กาลที่ท่านล่วงลับแล้วก็ตาม

พอดีสงครามสงบอิหร่านกับอิรัคเลิกรบกัน

ผมเลยแน่ใจว่ายังไม่ใช่มหาภัยที่พระพุทธองค์ตรัสถึง

พระทั้งหมดที่ผมตั้งชื่อว่า “บริษัทพุทธานุภาพ” จึงไม่ได้แจกให้ญาติพี่น้องจนครบจำนวนตามที่ตั้งใจแต่ก็แจกประปรายออกไปสู่ คนอื่น ๆ ด้วย

วันหนึ่งผมอยู่กับหลวงปู่พรหมา เขมจาโร สมัยที่ท่านยังไม่มีใครรู้จักสักเท่าไหร่ ท่านตำหนิลูกศิษย์ของท่านซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าทหารลาวขาว กรณีคดโกงเงินช่วยเหลือกองทหารว่ามันไม่สัตย์ ไม่ซื่อ ให้ผมได้ยินต่อหน้า
“คอยฟังเสียงปืนนะ โป้งเดียวทะลุ”

ผมตกใจ

เพราะเมื่อท่านพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าท่านจะถอดของรักษาที่ท่านประสิทธิให้ลูกศิษย์คนนั้น

ผมกลัวเขาตายเพราะผมกับเขาก็ชอบพอกันอยู่ เมื่อเขามีโอกาสแวะมาหาผมที่บ้านก็ขอร้องเขาให้แขวนพระที่ผมจะให้สักองค์ หนึ่ง จะยินดีไหม? เขาตอบว่ายินดี

ผมเลี่ยมบริษัทพุทธานุภาพพร้อมสร้อยแสตนเลสอีกหนึ่งเส้นให้เขาแขวน

จากนั้นเขาก็กลับเข้าเขมรอันเป็นที่ตั้งของกองทหารของเขา

เดือนเศษ ๆ เขากลับมาหาผมอีกครั้งหนึ่งพร้อมคำถามที่น่าสนใจยิ่งว่า พระที่ผมให้เขาไปนั้นยังมีอีกไหม อยากจะขอไปให้ลูกน้องที่เป็นทหารด้วยกัน

คำตอบของผมคือ เสียใจ พระหมดแล้ว ที่ให้เขาไปได้หนึ่งองค์นั้นก็เป็นองค์ของญาติคนหนึ่งที่ผมไม่ทันมอบให้

เขาเล่าว่า ปกติในการเดินลาดตระเวนของพวกเขานั้น เมื่อผู้นำทางเดินไปก่อนแล้ว คนตามหลังคนถัดไปจะต้องสอดเท้าเข้ารอยเท้าของคนเดินนำเสมอ เพราะว่ากับระเบิดมีมาก ตอนหนึ่งพอเขายกเท้าขึ้น คนที่อยู่หลังก็สอดเท้าตามเข้ามา เสียงระเบิดก็ดังสนั่นหวั่นไหว ลูกน้องของเขาสองคนที่อยู่ข้างหลัง ห่างไม่ถึงศอก ตายไปสองคน ชนิดที่ว่าแขนอยู่ข้างหนึ่ง เท้าอยู่ข้างหนึ่ง อวัยวะบางส่วนไปแขวนอยู่บนต้นไม้ เละไปทั้งตัว จนถึงขั้นไม่ต้องจำว่าศพใครเป็นศพใคร

ส่วนตัวเขาเองนั้นระเบิดได้ขุดเอาโคลนขึ้นมาท่วมตัวเขาจนมิด แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

ผมจึงทราบว่าบริษัทพุทธานุภาพของตนมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์สมเจตนาที่ได้ทำขึ้นจริง ๆ

นึกเสียดายติดหมัดว่าทำน้อยไปหน่อย

ต่อมากลาง ๆ ปี 2534 เกิดเหตุไฟไหม้ในตลาดอำเภอวารินชำราบ ใกล้บ้านของผม แสงไฟลุกโพลงน่ากลัว จนน้องสาวผมนั่งไม่ติด ลุกขึ้นเดินเข้าออกระหว่างหน้าบ้านหลังบ้านเหมือนหนูติดจั่น ผมปลอบขวัญน้องสาวว่าไม่ต้องกลัวหรอก ยังไงไฟก็ไม่ลุกลามมาถึงบ้านเราแน่ เพราะได้ออกไปดูบริเวณไฟไหม้แล้วว่าไม่มีทางลุกลามมาถึงแน่นอน แต่น้องสาวก็ยังไม่วางใจ เดินเป็นหนูติดจั่นแบบคนเตรียมพร้อมอพยพตลอดเวลา

ส่วนผมนอนเฉยที่เก้าอี้ผ้าใบ ทำอาการว่าไม่ตื่นเต้นเลย เพื่อสงบคนอื่น ๆ ไม่ให้ตื่นกลัวจนเกินไป
ขณะนั้นเกิดนึกอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง

นึกถึงพุทธคาถาบทนี้

อธิษฐานในใจว่าจะขอสวดพุทธคาถานี้ให้แก่บ้านที่กำลังถูกไฟไหม้ ถ้าหากเขาและเพื่อนบ้านข้างเคียงเป็นชาวพุทธก็ขอให้อย่าต้องรับเคราะห์เลย โดยเฉพาะบ้านที่ไม่ใช่ต้นเพลิง ขอให้ปลอดภัย
แล้วนอนสวดในใจไปเรื่อย ๆ ไม่กำหนดว่ากี่จบ

สวดจนลืมสวดก็มี พอนึกได้ก็สวดอีกเรื่อยไป ทั้งยังคิดเข้าข้างตนเองว่าเราสวดให้ขนาดนี้แล้ว ไฟน่าจะไหม้แค่บ้านต้นเพลิงหลังเดียว

ราว ๆ เกือบสองชั่วโมง มีตนวิ่งตะโกนบอกต่อ ๆ กันว่าไฟดับแล้ว ผมลุกไปถามว่าไฟไหม้ไปกี่ห้อง เขาบอกว่าไหม้ไปสามห้อง

ผมเลยซึม

พุทธคาถานี้เห็นจะไม่ขลังอย่างเรานึกเชื่อ

ขณะที่ไฟดังนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 4 บ่าย 5 จนกระทั่งถึง 2 ทุ่มเศษ ๆ หน่วยดับเพลิงก็ไม่กลับ ยังคงคุมเชิงอยู่ที่เกิดเหตุ

เขาบอกว่ามีถังแก๊ส 11 ถังอยู่กลางไฟ ยังไม่ระเบิด

ผมยกมือไหว้ท่วมหัว อุทานคนเดียวว่าอย่างนี้นี่เอง

ลองนึกดูถ้าแก๊ส 11 ถังระเบิด มันจะเกิดภัยภิบัติระดับไหน

บ้านผมคงจะวอดวายไปด้วยสมกับน้องสาวที่เป็นหนูติดจั่น

พอถึงกลางปี 39 ที่เพิ่งผ่านไป ผมได้เล่าเรื่องพุทธคาถาทั้งหมดให้ท่านอาจารย์เวทย์ วัดแก่งตอยฟัง ท่านแสดงความสนใจถามผมว่าพุทธคาถาบทนั้นว่าอย่างไร ผมก็จดให้

ท่านรับไปดูแล้วร้องอ๋อ
“พุทธคาถาที่จดให้นี้เป็นบทย่อ จริง ๆ แล้วบทเต็มยาวกว่านี้ พุทธคาถานี้หลวงปู่คำพันธ์ท่านใช้ในการเสกพระทุกครั้ง”

ผมฟังแล้วหัวใจก็ START TO TREMBLING อย่างช่วยไม่ได้

ก่อนหน้าที่จะได้เล่าเรื่องพุทธคาถาและสนทนากับท่านอาจารย์เวทย์ ก็มีเรื่องบังเอิญอีกเรื่อง

เพื่อนของผมคนหนึ่งได้เอาคาถากันภัยของหลวงปู่ขาว อนาลโยมาให้ โดยบอกว่าคาถาบทนี้หลวงปู่ของท่านให้กับคุณแม่ของเขามา คาถาบทนั้นก็เป็นอันเดียวกัน จะแตกต่างแต่เพียงวิธีการอ่าน คล้ายๆกับอ่านแบบภาษาลาวกับภาษาไทยยังไงยังงั้น โดยความหมายเป็นอันเดียวกัน

คาถากันภัยของหลวงปู่ขาวมีดังนี้
“ทิตะศีลาคันธะมังกะโร กะระกะลาสาสะติ โสตะถิโหคะหะคะเน”

เป็นเรื่องประหลาดใจจริง ๆ นะครับ

และผมมีความลับจะบอกอีกอย่างหนึ่งว่า ใช่แต่เจ้าคุณนรฯ กับหลวงปู่คำพันธ์เท่านั้นที่ทำปฐวีธาตุ, หลวงปู่ขาวท่านก็ทำเอาไว้ เสียแต่ว่าไม่แพร่เป็นที่รู้จักกัน นอกจากคนใกล้ชิดท่านบางคนจะได้รับไว้

ที่ผมก็มีอยู่เม็ดหนึ่ง

เป็นกรวดที่ท่านให้เก็บเอาจากแถว ๆ พื้นดินในกุฏิของท่านเอามาเสกแจก

ปฐวีธาตุจะเป็นของกันนิวเคลียร์ได้จริง ๆ อย่างที่คุณรณธรรม ธาราพันธ์ว่าหรือไม่ก็ต้องรอให้ระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดเสียก่อน

อย่างไรก็ตาม เมื่อสนทนากับท่านอาจารย์เวทย์แล้ว ผมก็สนใจอยากจะได้บทเต็ม ๆ ของพุทธคาถา ท่านก็รับปากว่าจะจดให้ทีหลัง

ในที่สุดก็มาถึงวาระที่จะต้องสร้างพระถวายหลวงปู่คำพันธ์กับท่านอาจารย์เวทย์ในโอกาสเข้าพรรษา ปี 39

โดยทำพระขึ้นทั้งหมด 3 พิมพ์ คือ พิมพ์พระนาคปรก พิมพ์พระโพธิบุญญา (พระประธานวัดแก่งตอย) กับพิมพ์พระปิดตาบัลลังก์งู (ฐานเป็นงู) ทุกพิมพ์ใช้ยันต์สี่เหลี่ยมกันภัยของหลวงปู่คำพันธ์ประทับไว้ใต้ฐานทุกองค์ ซึ่งยันต์ตัวนี้ท่านอาจารย์เวทย์บอกว่าผูกขึ้นมาจากพุทธคาถาบทนั้นนั่นเอง

ยันต์นี้เดิมอยู่ในองค์พระธาตุพนม พอพระธาตุล้ม ยันต์ก็ปรากฏออกมา หลวงปู่ท่านจึงเอามาใช้ แต่ผมยังไม่พอใจ ได้ปรึกษาท่านอาจารย์เวทย์ น่าจะทำตะกรุดจารด้วยพุทธคาถาบทเต็ม ๆ ฝังในพระด้วย ท่านบอกดีเหมือนกัน แต่อย่าเอาบทเต็มเลยจะจารลงไม่ไหว เอาหัวใจของพุทธคาถานี้ดีกว่า

ซึ่งหัวใจดังกล่าวหลวงปู่คำพันธ์ท่านเป็นผู้ย่อลงไว้เอง ตกลงก็เอาตามนั้น

พระทุกพิมพ์สร้างแต่ละพิมพ์ไม่เกิน 2 พันองค์ ตะกรุดจารได้ 1 พันกว่าดอก จึงไม่อาจฝังลงในพระได้ครบทุกองค์

เลือกฝังแต่พระโพธิบุญญาเป็นหลัก พิมพ์อื่นไม่ได้ฝัง แม้ฝังก็จำนวนน้อยที่สุด

ถึงไม่ฝังก็มีคุณค่าไม่น้อยกว่ากันเพราะว่ายันต์สี่เหลี่ยมมีอยู่ทุกองค์

ยันต์สี่เหลี่ยมเป็นหัวใจพุทธคาถาเช่นเดียวกัน

พระชุดนี้จึงเป็นชุดที่ลงไว้ด้วยพุทธคาถาวันโลกดับ และสร้างในระหว่างพรรษาโดยดำเนินการปลุกเสกระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 25 พฤศจิกายน ซึ่งพระนาคปรกใบมะขามร่มเย็นที่แจกฟรีไปแล้วก็อยู่ในพิธีเดียวกันนี้

หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ ปลุกเสกเดี่ยว ๆ ยกเว้นพระนาคปรกร่มเย็นใบมะขามเท่านั้น ที่มีหลวงปู่เปลี้ยปลุกเสกด้วย คือเสกก่อนในวันที่ 11 ตุลาคม แล้วจึงนำมาเข้าพิธีพร้อมกับพระนาคปรกร่มเย็นเนื้อผง พระโพธิบุญญาเนื้อผง และพระปิดตาบัลลังก์งู

เฉพาะพระปิดตาบัลลังก์งู ได้ถวายหลวงปู่คำพันธ์ทั้งหมด ท่านที่ต้องการพระปิดตาบัลลังก์งูต้องไปขอรับเองที่วัดธาตุมหาชัย

ส่วนพระโพธิบุญญาต้องติดต่อขอรับได้ที่ท่านอาจารย์เวทย์เท่านั้น โดยติดต่อตามที่อยู่นี้
พระอาจารย์เวทย์ อาจารสมฺปนฺโน 116/7 ถ.พรหมราช อ.เมือง จ.อุบลราชธานี 34000
พระโพธิบุญญา องค์ละ 150 บาท

ส่วนพระนาคปรกร่มเย็น ติดต่อได้ที่ผม
อำพล เจน 066/2 ถ.กันทรลักษ์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี 34190

พระปิดตาบัลลังก์งู บำรุงวัดธาตุมหาชัยทั้งหมด

พระโพธิบุญญาบำรุงวัดแก่งตอย (วัดสาขาของหลวงปู่คำพันธ์ประจำจังหวัดอุบลราชธานี)

และพระนาคปรกร่มเย็น แบ่งออกบำรุง 2 วัด คือ วัดบ้านขาม ต.ขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลฯ และวัดห้วยเสือผาสุการาม อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

พระนาคปรกร่มเย็นแม้ไม่มีตะกรุดที่จารด้วยหัวใจพุทธคาถาที่หลวงปู่คำพันธ์ ท่านผูกขึ้นให้ แต่อักขระหัวใจเดียวกันกับตะกรุดได้ประทับอยู่ด้านหลังพังพานนาคปรกทุกองค์

คือแทนที่จะจารลงตะกรุดแล้วฝังกลับจารลงหลังพระนาคปรกเลย

พระนาคปรกร่มเย็นให้บูชาองค์ละ 100 บาท จะไปขอรับที่วัดทั้งสอง คือวัดธาตุมหาชัย หรือวัดแก่งตอยก็ได้ทั้งนั้น

ไม่สะดวกก็เชิญทางไปรษณีย์ได้ที่ผมเหมือนเก่า

ผมไม่ได้โม้ว่าพระชุดนี้กันนิวเคลียร์ได้นะครับ

ผมยังไม่ได้ลองกับระเบิดนิวเคลียร์สักหน่อยจะโม้ได้ไง

แต่บอกได้ว่านี่เป็นพระเครื่องดีอีกรุ่นหนึ่งของหลวงปู่คำพันธ์ที่สมบูรณ์ที่สุดตลอดกระบวนการสร้างขลัง

ใจใครรู้สึกหนาวบางทีแขวนแล้วจะอุ่นใจ

NEVER GIVE UP ON ANYBODY. MIRACLES HAPPEN EVERY DAY.
อย่าท้อแท้ในคนบางคน สิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายเกิดขึ้นทุกวัน

 

——————————————————————————–
งานเขียนของคุณอาอำพล เจน  … จากหนังสือศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 339
วันที่ 16 กุมภาพันธ์  2540
——————————————————————————–

 

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน