สุเชาว์ ศิษย์คเณศ

suchao สุเชาว์ ศิษย์คเณศ

——-

ความลำเค็ญยากเข็ญ ดูจะแยกไม่ออกจากชีวิตของศิลปิน

มทสาร์ท คีตกวีเอกของโลกตายอย่างอนาถา

แม้บัดนี้จะค้นหาหลุมศพของเขาเพื่อสดุดียังไม่ได้

สัปเหร่อผู้แบกโลงไปฝังกับมือยังนึกไม่ออก

เพราะว่าไม่ได้สนใจจำ

เป็นศพไม่มีญาติว่างั้นเถอะ

e-shann12_%e0%b8%ab%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%9c%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%8d%e0%b8%87

ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือที่เรียกอย่างสนิทปากว่า “ท่านกูด” ก็ลำเค็ญแสนเข็ญอยู่จนตลอดชีวิต

อดอยากปากแห้งถึงกับภรรยาต้องอุ้มลูกไปพึ่งกรมประชาสงเคราะห์ก็เคย

เพื่อนบ้านต้องแบ่งข้าวปลามาให้กินกันตายก็บ่อย

แม้บั้นปลายชีวิตท่านกูดจะดีขึ้นบ้าง ก็ยังอดอยากไม่ได้กินอะไรเพราะป่วยหนัก กลืนอะไรไม่ได้กระทั่งน้ำ

เรียกว่าตอนหนุ่มกินอะไรไม่ได้เพราะไม่มีจะกิน พอมีจะกินก็กินไม่ได้เพราะโรคร้าย

ศิลปินหลายคนในโลกทุกชาติทุกภาษา เมื่อตายไปอย่างแร้นแค้นแล้วผลงานของ พวกเขาจึงออกดอกออกผล เมื่อมีชีวิตอยู่ไม่ได้เสพผลหรือดมดอกจากผลงานของตนเองเลย

“วิบากกรรมนำไป่รู้  ไปไหน
มืดหม่นมามืดไป  เปลี่ยวคว้าง
อาภัพกว่าใครใคร  ครวญคร่ำ พอฤา
วิปโยคโศกศิลป์สร้าง  จึงอ้าง ว้างแสน”

บางทีอาจจะไม่มีใครรู้จัก หรือได้ยินชื่อของ สุเชาว์ ศิษย์คเณศ แต่ในแวดวงศิลปะแล้วรู้จักกันดีมาก

รู้ว่าเขาเช่าห้องแคบ ๆ ราคาถูก ๆ เขียนรูปขายให้แกลลอรี่บ้าง เขียนให้เพื่อนบ้างพอได้มีกินไปวัน ๆ

รู้ว่าไม่มีใครเคยได้ยินเขาพร่ำบ่นถึงความทุกข์ของชีวิตตนเอง ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน หรือแม้แต่คำพูดที่ระคายหูใคร

เขาอยู่อย่างง่าย ๆ จนลืมไปว่าร่างกายต้องการอาหาร ต้องการออกกำลังกาย แต่เขาก็อุดอู้เก็บตัวอยู่ในห้องนั้นจนใคร ๆ ลืมไปว่าเขาลำบากหรือไม่ ต่างนึกแต่เพียงว่าเขายังสบายดี เพราะทุกคนที่ได้พบกับเขาภายนอกห้องแคบ ๆ นั้นก็แต่ในเครื่องแต่งกายที่เรียบร้อยสะอาด อ่อนน้อมถ่อมตน และยกมือไหว้คารวะผู้อื่นก่อนเสมอ

อาจกล่าวได้ว่า โลกภายนอกของเขาแสนจะสวยงามในสายตาผู้อื่นแต่เมื่อกลับเข้าสู่โลกภายในแล้วแสนจะอับจนอยู่คนเดียว

เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดชีวิต

น. ณ ปากน้ำ เขียนถึง สุเชาว์ ศิษย์คเณศ ไว้ว่า

“เขาเป็นนักเอ๊กซเพรสซั่นนิสม์ตัวยง ที่เขียนภาพด้วยอุดมคติตัวเอง โดยไม่ยอมเปลี่ยนแนวสยบให้แก่กลไก อันโหดร้ายในการค้าขายงานศิลปะ
เขาเป็นอิสรชน ผู้ยินดีหันหลังให้กับโลก เมื่ออยู่เบื้องหน้าผืนผ้าใบและมือจับแปรง
เขาปล่อยอารมณ์เฟื่องฝัน ไปยังโลกเร้นลับ ที่เต็มไปด้วยความฝันร้ายและความวิปริตของสังคม
เขาเดินอยู่ในมรรคาสายเปลี่ยวที่มีบรรยากาศห่อหุ้มไปด้วย ความกระเหี้ยนกระหือรือแสนน่าสะพรึงกลัว
จินตนาการของเขาถูกครอบงำด้วยความมืด ความอ้างว้างเดียวดาย
สิ่งเหล่านี้ได้ซึมซาบลงไปในผลงานของเขา เขาผู้เป็นนักเอ๊กซเพรสชั่นนิสม์คนสำคัญของเมืองไทย
แม้เราคาดการณ์ว่าคงมีผู้เข้าใจยากแต่ก็ไม่ยากสำหรับผู้มีน้ำใจ”

เมื่อสุเชาว์ ศิษย์คเณศ พูดถึงตัวเองบ้าง ก็เป็นภาพสะท้อนตัวเขาเองได้ดีที่สุด
“รูปเขียนของผมนี่ถูกสับโขกมากนะ ต้องอดทนไม่หวั่นไหว ต้องจริงใจ”

“ชีวิตของผมไม่เคยมีบ้าน ต้องเช่าเขาอยู่และย้ายไปเรื่อยๆ อาศัยเพื่อนบ้าน มันก็ไม่สะดวก ผมอยากมีความรู้สึกที่เป็นส่วนตัว อยากมีบ้านของตัวเอง แต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะผมเปลี่ยนงานบ่อย ผมก็เลยต้องเขียนเอา”

บ้านของสุเชาว์ ศิษย์คเณศ จึงมีแต่เพียงในรูปเขียน และรูปบ้านกับต้นไม้ถูกไฟไหม้ จึงได้รับเหรียญเงินในงานประกวดศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๖)

อาจเป็นบ้านหลังเดียวที่เป็นของเขาจริง ๆ เท่านั้น

ความจริงประการหนึ่งสำหรับงานเขียนของเขา คือความสลดหดหู่อดอยากหิวโหยมักปรากฎอยู่ในสภาพเขียนเป็นส่วนใหญ่

“ก็ชีวิตผมไง เหมือนกัน ชีวิตผมเผชิญมาอย่างนั้น ความหิวโหยผมผ่านชีวิตมาอย่างนั้น มันสั่งสมอยู่ ผมก็ระบายมันออกมา”

ครั้งหนึ่งเขาทุ่มเทจิตใจเขียนรูปให้เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นหมอ ในโอกาสขึ้นบ้านใหม่ เพื่อตอบแทนความดีที่หมอรักษาพยาบาลเขาฟรี

สามวันให้หลัง เพื่อนหมอเอารูปมาคืน
“ต้องเอามาคืน เพราะคนที่บ้านไม่อยากให้เด็กดูเดี๋ยวเด็กจะไม่สบาย”

สุเชาว์ ศิษย์คเณศ เกิดในกรุงเทพฯ บิดามารดาเป็นชาวจีนโพ้นทะเล วันหนึ่งในขณะที่สุเชาว์ อายุได้ ๑๒ ขวบ บิดามารดาเดินทางกลับไปเมืองจีนและไม่กลับมาอีกเลย

จนวันที่ สุเชาว์ป่วยอยู่เงียบ ๆ ในห้องแคบ ๆ และเพื่อนคนหนึ่งไปพบแล้วนำเขาส่งโรงพยาบาลเมื่ออายุได้ ๖๐ กว่าปี

บันทึกส่วนตัวของสุเชาว์ ที่เพื่อนพ้องพบเห็นในวันที่ไม่มีเขาอยู่ในห้องแคบ ๆ นั้นอีกแล้ว กำลังบอกถึงอะไรบางสิ่งที่เป็นตัวของเขาจริง ๆ

“ไม่อาจหาญเสนอตนเท่าเทียมผู้อื่น เพราะน้อยปัญญา ศึกษาเพียงอนุปริญญาทางศิลป์
มิได้มีบารมี…..เช่นเขาอื่น
เพียงเผชิญชีวิตในเมืองไทยบ้านเกิด และอาจเป็นเมืองตาย
ได้แต่ปลอบใจตนเองด้วยคติเต๋าที่ว่า
ผู้อยู่ในห้อง ก็อาจรู้โลกภายนอกได้ “

 

สุเชาว์ชีพไร้ ร่างไหม้  โฉมสลาย
เหลือเถ้าถ่าน เรี่ยราย  เปล่าว้าง
สิ่งศิลป์ซึ่งสืบสาย ใจกล่าว เล่าแล
โลกเปล่าเปลี่ยวเคว้งคว้าง ช่างอ้าง ว้างแสนฯ
(อังคาร กัลยาณพงศ์)

วินาทีนี้ผมขอรำลึกถึงศิลปินผู้หนึ่งซึ่งโลกยังไม่เปลี่ยนวิถีของเขาให้สุขสบายได้เลย

ได้แต่มุ่งหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า โลกแห่งความสุขสบาย คงจะเป็นของประดาศิลปินบ้าง

หวังไว้ในฐานที่เป็นศิษย์เก่าเพาะช่างคนหนึ่งเท่านั้นเอง

suchao-sisganes-acrylic-on-canvas-40-5x45-5cm-web_ work5

work2


…………………………………………….

งานเขียนของ อำพล เจน ในนามปากกา ยสธสาร  ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารแปลก ฉบับที่ 584 วันที่ 5 พฤษภาคม 2530

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน