หลวงพ่อพิบูลย์ – ตอนที่ 5 –

เรื่องขลังและพิสดารของหลวงพ่อพิบูลย์
ตอนที่ 5
————–~@~—————-

บทสรุปที่พระครูมัญจาภิรักษ์ได้ทำไว้ในเชิงบันทึก เกี่ยวกับอภินิหารของพ่อผมยาวนั้นให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้อีกมาก เป็นรายละเอียดที่ภาคประวัติของพ่อผมยาวไม่ได้ให้ไว้ จึงกล่าวได้ว่าบทสรุปนี้จะทำให้เรื่องของพ่อผมยาวชัดเจนขึ้น ทำให้นึกเชื่อว่าพระครูมัญจาภิรักษ์จะเป็นอีกผู้หนึ่งที่เลื่อมใสพ่อผมยาว ไม่น้อยกว่าคนอื่น

บทสรุปนี้มีว่า

1.ในสมัยที่พ่อผมยาวได้ไปเรียนธรรมจากฤษี พอเรียนจบแล้วจะต้องถือข้อปฏิบัติไม่พูดกับใครเป็นเวลา 10 ปี
ตอนที่อยู่วัดนอก (วัดสามัคคีบำเพ็ญผล) หนองหาน มีประชาชนบางกลุ่ม ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าใจว่าท่านบ้า เอาก้อนหินและท่อนไม้ขว้างปาท่าน บางครั้งศีรษะแตก ท่านจะถุยน้ำลายใส่ฝ่ามือป้ายแผลเลือดก็หยุด แผลก็หายทันที บางคนเอารังมดแดงเคาะใส่มดก็ไม่กัด

2.เมื่อมาอยู่บ้านแดง หลวงพ่อพิบูลย์แต่งคนไปโกนผมให้ท่าน ปรากฏว่าใครก็โกนไม่เข้า ( เส้นผมไม่ขาด ) ท่านบอกว่าถ้าอยากจะโกนจริงๆต้องใช้มีดของท่านเองจึงจะสำเร็จ

หลังจากโกนผมแล้ว ก็เริ่มด่าทอผู้คนว่า “ห่ากินผี ผีกินห่า” อยู่หลายวัน ปรากฏว่า วัวควายชาวบ้านล้มตาย เพราะโรคห่าทุกครัวเรือน ชาวบ้านมาคารวะท่านแล้ววัวควายที่เหลือจึงรอด

3.เขียนคาถาพันขาเหยี่ยว ปืนหน้าไม้ยิงไม่ถูกเหยี่ยว

4.จมน้ำนาน 1 ชั่วโมงไม่ตาย

5.ชอบจุดไฟเผากองฟางหรือกอไผ่ พอเผาแล้วจะไปยืนขวางไฟไว้ไม่ให้ลุกลามไปไหม้อย่างอื่น แม้ไฟจะลุกท่วมตัวท่านก็ไม่เป็นไร

6.เครื่องรางของขลังที่ท่านทำให้ ปรากฏมีอานุภาพอยู่ยงคงกระพัน และถือไปที่ไหนคำว่า ผี ไม่มีที่นั่น

7.ตอนฌาปนกิจศพท่านจุดไฟไม่ไหม้ ไฟดับหมดแล้วศพท่านกลับยังอยู่เป็นปกติ หลวงพ่อพระครูอมร ธมฺโมภาส(อาจารย์ชม) ต้องทำพิธีตัดร่างกายของท่านเป็นชิ้นๆแล้วโยนเข้ากองไฟทีละชิ้นจึงเผาสำเร็จ

บทสรุปนี้ชี้ให้เห็นว่า พ่อผมยาวไม่ธรรมดา บางทีจะเป็นดั่งผู้วิเศษอีกประเภทหนึ่ง ที่ซ่อนตัวตนที่แท้จริงไว้จนมิดชิด แต่กลับเผยส่วนที่จอมปลอมลวงคนให้เข้าใจผิด

คนจึงเห็นว่าท่านคือคนบ้า และเห็นเช่นนี้จนตลอดอายุขัยของท่าน

ดีหน่อยก็ตอนช่วงหลังของชีวิต ได้รับความเลื่อมใสจากผู้คนจนเปลี่ยนก้อนหินท่อนไม้และรังมดแดง มาเป็นความยำเกรงนับถือ ราวกับพลิกฝ่ามือ

เรื่องราวที่เป็นความอัศจรรย์ของพ่อผมยาวปรากฏตั้งแต่ก่อนพ.ศ. 2500 ซึ่งในยุคนั้นจำได้ว่าเคยเห็นคนบ้าเพ่นพ่านอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้เกิดความลังเลในขณะนี้ว่าจะเป็นคนบ้าจริงๆ หรือยอดคนงำประกายมิดชิดก็ไม่ทราบ

ในอำเภอของผมสมัยปี 2500 กว่าๆ มีคนบ้า 2 คนอาศัยอยู่คนละเขต คล้ายๆกับนักเลง 2 ถิ่น ใครข้ามเขตไม่ได้จะต้องตีกันทันที ตีกันชนิดไม่รู้ผลแพ้ชนะ ไม่เลิก แต่ผลแพ้ชนะไม่เคยปรากฏสักที เห็นแต่ชาวบ้านทนความรำคาญไม่ไหวก็แจ้งตำรวจให้มาแยก พอตำรวจมาคนบ้า 2 คนก็หายบ้า วิ่งหนีตำรวจไปคนละทิศละทาง ตำรวจสมัยนั้นก็เห็นขำ ไม่เคยจับคนบ้าทั้ง 2 สักที ชาวบ้านก็อาศัยเล่นสนุกอ้างตำรวจไว้แกล้งคนบ้า คนบ้าก็จะยอมรับฟังอย่างชนิดที่เรียกว่าอยู่ในโอวาท จะให้ทำอะไรก็ทำ

ต่อมาคนบ้าทั้ง 2 ก็หายสาบสูญไปเอง ไม่มีใครทราบว่านัดกันหายไปหรืออย่างไร

คนบ้า 2 คนนี้ คนหนึ่งสูงใหญ่ผมยาว น้ำท่าก็ไม่อาบ ไม่พูดไม่จากับใคร ชอบเดินเก็บกระดาษและขยะที่คนทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าเอาไว้ เก็บแล้วก็เอาไปทิ้งเป็นที่เป็นทางเรียบร้อยกว่าคนไม่บ้า คนบ้าคนนี้ชื่อว่า “บักหลอด” อยู่อำเภอผมนานเน จนเกิดบทกลอนร้องเล่นสำหรับเด็กๆว่า “บักหลอดปอดป่องไผมาวันพระ ฝนตกยะบักหลอดปอดป่อง” ร้องกันอย่างนี้ทั้งอำเภอ

อีกคนชื่อ “บักกืก” ไม่พูดไม่จากับใครเหมือนกัน คือใครพูดด้วยก็จะมีอาการแบบคนใบ้ ทำเสียงอือๆ แบ๊ะๆไปตามเรื่อง ถ้าอยากจะสื่อสารกับคนจะใช้ภาษามือ ซึ่งต่างจากบักหลอดทั้งไม่พูด ทั้งไม่สื่อสารกับใคร

คิดเล่นๆ 2 คนจะเป็น 1 ใน 7 คนที่ไปเรียนวิชาธรรมใหญ่ห้าร้อยชาติ ร่วมกับพ่อผมยาวหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ถือว่าคนทั้งอำเภอมีตาที่ไร้แวว ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป ถือว่าเป็นคนบ้าจริงๆก็แล้วกัน

มีเรื่องแปลกเท่าที่เด็กอย่างผมจะจำได้คือ บักหลอดกับบักกืกตีกันเมื่อไร ไม่ค่อยได้เห็นเลือด ครั้งหนึ่งเห็นบักกืกมีเลือดออก มันก็เอาน้ำลายป้ายแผลเหมือนกัน แต่นึกไม่ออกว่าแผลหายทันทีหรือเปล่า

จะว่าไปจริงแล้ว ผมรับว่าในขณะนี้ผมยังนึกว่า 2 คนนี้เป็นคนบ้าแน่ๆ นึกเตลิดมาปานนี้ก็เพราะพ่อผมยาวเป็นเหตุนั่นแหละครับ

ยังมีคนบ้าอีกคนหนึ่งปรากฏตัวและเรื่องราวน่าอัศจรรย์อยู่แถวๆเขาหินซ้อน ระหว่างแปดริ้วไปปราจีนบุรี เรื่องคนบ้าคนนี้น่าสนใจ แต่ก็ไม่มีใครทราบประวัติความเป็นมา ได้ยินแต่เพียงว่า คนบ้าคนนี้แขวนประคำอยู่สายหนึ่ง และชอบกระโดดใส่รถที่กำลังวิ่งอยู่บนถนน เพื่อให้รถชนจนกระเด็น ยิ่งเป็นสิบล้อยิ่งชอบ

คนชนก็ตกใจ แต่คนถูกชนกลับหัวเราะชอบใจ ลุกขึ้นหน้าตาเฉยแล้วเดินหนีไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขาลือกันว่า น่าจะเป็นเพราะประคำที่แขวนคอคนบ้าคนนี้ จึงปรากฏอภินิหารมาเล่าสู่กันฟัง

เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยินว่ามีใครพบเห็นคนบ้าคนนี้อีกแล้ว หายสาบสูญไปตั้งแต่ราวๆปี 2520 กว่าๆ

อีกคนหนึ่งผมเคยได้พบตัว เมื่อพบแล้วผมก็เห็นว่าเป็นคนบ้าแน่ๆ แต่คนอื่นเขาเห็นว่าท่านเป็นฤษี เลยเรียกชื่อว่า ฤษีคำปุ่น อยู่ในเขตนครพนม

ฤษีคำปุ่น หรือที่ผมเห็นว่าเป็นคนบ้านี้ แม้หลวงปู่พรหมา เขมจาโรยังนับถือ แต่ผมกลับทำใจไม่ได้ เพราะเชื่อว่าบ้าจริงๆ และพาลนึกประมาทหลวงปู่พรหมาอีกด้วยว่า

พ่อพรหมาของกูนี่เห็นจะวิปริตเป็นแน่

ครั้งหลวงปู่พรหมาได้มาพักที่วัดป่าแสนอุดมในตัวเมืองอุบลฯและให้คนไปรับตัวพ่อคำปุ่นมาหาที่วัด จะพาไปวัดผานางคอยด้วยกัน

ระหว่างที่หลวงปู่พรหมากำลังฉันภัตตาหารเช้า คะเนว่าเป็นเวลา 8 โมง พ่อคำปุ่นก็เดินลงจากศาลาแล้วหายตัวไป ไม่มีใครทราบว่าไปไหน

ปรากฏว่าท่านไปโผล่ที่วัดผานางคอยในเวลา 8 โมงเหมือนกัน ลูกศิษย์ที่วัดผานางคอยยืนยันกับผมว่า พ่อคำปุ่นเดินมาที่วัดในเวลานั้นจริงๆ

ครั้นตกบ่ายแก่ๆหลวงปู่พรหมาจึงเดินทางกลับวัดผานางคอย ก็พบว่าพ่อคำปุ่นอยู่ที่นั่นแล้วอย่างน่าอัศจรรย์

ลูกศิษย์หลวงปู่พรหมาที่ได้เห็นอภินิหารของพ่อคำปุ่นนี้ชื่อว่า “พ่อนก” และเรื่องราวต่อไปนี้ก็เกิดขึ้นก่อนสมัยที่หลวงปู่พรหมาจะมีชื่อเสียงโด่ง ดังคือราวๆปี 2520 กว่าๆ

พ่อนกเล่าว่า หลวงปู่พรหมามอบหมายให้ตัวแกเป็นผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากพ่อคำปุ่นระหว่างพำนัก อยู่วัดผานางคอย จึงมีความใกล้ชิดพ่อคำปุ่นมากกว่าใคร

ครั้งหนึ่งในแสงเทียนกลางมืด พ่อคำปุ่นนั่งสูบยาเส้นมวนเองอยู่เงียบๆ พ่อนกก็นั่งเฝ้าอยู่ห่างๆ รอว่าพ่อคำปุ่นจะเรียกใช้อะไรหรือเปล่า ทุกครั้งที่มองดูพ่อคำปุ่นก็เห็นแปลก คือมองครั้งหนึ่งเห็นเป็นคนแก่หง่อมหลังโกง มองอีกครั้งเห็นเป็นคนหนุ่ม 20 กว่าปี ทั้งๆที่พ่อคำปุ่นในตอนนั้นน่าจะมีอายุประมาณ 80 ปี และยังหลังตรงแข็งแรงมากเกินวัย

คราวหนึ่งพ่อคำปุ่นบอกว่าอยากกินเหล้า ให้พ่อนกไปหาเหล้ามา พ่อนกได้เหล้าเถื่อนมา 1 ไห ก็เอามารินใส่จอกถวาย พ่อคำปุ่นก็กินเอาๆ คือรินให้ก็ซดรวดเดียวหมดไปหลายจอก สักพักก็ถามพ่อนกว่าจะกินมั่งไหม พ่อนกก็บอกว่าเอาครับ เพราะว่าน้ำลายเหนียวมาตั้งแต่เห็นพ่อคำปุ่นยกซดจอกแรกแล้ว

จอกที่พ่อคำปุ่นส่งให้พ่อนกกินนั้น ท่านเอานิ้วชี้จุ่มลงไปในจอกเหล้าก่อนส่งให้ พอพ่อนกยกจอกนั้นกรอกปากก็ตกใจ เพราะว่ามันเป็นน้ำเปล่า

พ่อคำปุ่นหัวเราะชอบใจ

แต่พ่อนกไม่เห็นขำ คิดแต่ว่าได้เจออาจารย์ผู้วิเศษเข้าแล้ว

เหล้าแท้ๆยังทำให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้

แต่ผมเห็นว่าเสกเหล้าให้เป็นน้ำนั้นไม่เข้าท่าหรอกครับ ไม่มีทางรวย

เสกน้ำให้กลายเป็นเหล้าสิครับ รวยแน่

สักครู่หนึ่งพ่อคำปุ่นบอกว่าอยากดื่มน้ำ พ่อนกก็ไปตักน้ำในตุ่มมาถวาย ท่านเอานิ้วชี้จุ่มลงไปในจอกน้ำแล้วไม่ดื่ม แต่ส่งให้พ่อนกแล้วพยักหน้าทำนองว่า “เอ้า ดื่มซะสิ” พ่อนกก็เลยดื่ม ปรากฏว่าคราวนี้ตกใจกว่าเก่าเพราะว่า น้ำเปล่ากลายเป็นเหล้าได้ยังไง

พ่อคำปุ่นหัวเราะชอบใจอีกที แล้วขว้างไหเหล้าลงพื้นจนแตกและไล่พ่อนกกลับไปนอน

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน