6/ นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล

คุณวรพร ทองดีเลิศ ผู้อยู่รับใช้หลวงพ่ออุตตมะนาน 24 ปี เล่าว่าหลวงพ่ออุตตมะเคยมีประสบการณ์ในการมองเห็นพญางูยักษ์ในเขตป่าเมืองกาญจนบุรี บริเวณรอยต่อของแผ่นดินไทยกับพม่า ห้วงพ.ศ.2500 กว่าๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาระหว่างที่หลวงพ่อเพิ่งจะเข้ามาอยู่อำเภอสังขละไม่นานปี

เรื่องนี้คุณวรพร บอกว่าได้ยินจากปากของหลวงพ่อด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อได้ยินแล้วจะนึกเห็นภาพพญางูยักษ์นั้นใหญ่โตมโหฬารขนาดขบวนตู้รถไฟหรืออาจจะกว่านั้น

มูลเหตุที่ได้พบเห็นพญางูยักษ์นั้น หลวงพ่ออุตตมะเล่าว่า รับนิมนต์จากค่ายตำรวจตระเวนชายแดนแห่งหนึ่ง ตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นายเอารถจิ๊ปมารับหลวงพ่อเข้าค่ายซึ่งอยู่ในป่าลึกชิดชายแดน ขณะนั้นหลวงพ่อมีอายุประมาณ 50 ปี (ปัจจุบันอายุ 96 ปี และกำลังอาพาธอยู่โรงพยาบาลศิริราช)

ระหว่างเดินทางโดยรถจิ๊ปของตำรวจตระเวนชายแดน หลวงพ่อปวดปัสสาวะ คณะตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นายจึงให้หยุดรถตรงบริเวณที่เป็นทุ่งโล่งกว้างใหญ่ในหุบเขา

โดยที่ไม่ทันได้สังเกตุแต่แรก ทุกคนได้เห็นพญางูยักษ์เลื้อยผ่านทุ่งโล่งอย่างช้า ๆ และไม่มีอาการว่าจะแสดงความสนใจหลวงพ่อและตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นาย ทว่าตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นายนั้นตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้ว

ขนาดของงูยักษ์นั้นยากจะบรรยาย แต่ความยาวของพญางูคงจะพอกำหนดขนาดได้ คือ หัวของพญางูเลื้อยไปถึงเขาลูกข้างหน้าแล้ว แต่หางยังอยู่เขาอีกลูกหนึ่ง

เมื่อตำรวจตระเวนชายแดนหายจากตกตะลึงก็ขยับปืนจะยิงพญางูยักษ์ หลวงพ่อก็ห้ามเอาไว้

“อย่านะ ปืนยิงไม่ออกนะ”

หลังจากนั้นหลวงพ่อจึงอธิบายว่า อย่าเห็นว่าเขาเป็นแค่งู เขาต้องสร้างบารมีมาไม่น้อยจึงมีขนาดใหญ่โตปานนั้น ถ้าเจ้าจะยิงเขาจริง ๆ พวกเจ้าคิดว่าปืนจะทำอะไรเขาได้ และถ้าเขาพยาบาท บ้านช่องพวกเจ้าจะเหลืออะไร แค่งูเห่าตัวเล็ก ๆ ยังรู้จักพยาบาท งูใหญ่ขนาดนั้นพยาบาทจะน่ากลัวแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อไม่ได้เอ่ยว่า พญางูยักษ์ที่ได้เห็นนั้นเป็นพญานาค ท่านเอ่ยแต่ว่าเป็นพญางูเท่านั้น

เกี่ยวกับเรื่องงู หลวงพ่อมีเรื่องพัวพันกับงูที่น่าสนใจมาก เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือ “อุตตมะ 84 ปี” เรียบเรียงโดย นายทรงวิทย์ แก้วศรี ดังนี้

“เรื่องของงู

วันหนึ่งผู้ใหญ่ซวยฉ่องป่วยหนัก หลวงพ่อได้ข่าวก็เป็นห่วงมาก เพราะผู้ใหญ่ซวยฉ่องเป็นผู้มีอุปการคุณต่อหลวงพ่อและทางวัด วันนั้นฝนตกพรำ ๆ อากาศมืดสลัว หลวงพ่อรับนิมนต์ไปสวดมนต์ที่นิเถะ พอฝนซาก็กระวีกระวาดจะไปบ้านผู้ใหญ่ซวยฉ่องซึ่งอยู่ริมดงสัก เส้นทางนั้นต้องเดินผ่านโรงพัก ตาแลขี้เมาเห็นหลวงพ่อผ่านมาก็ร้องถามว่าจะไปไหน หลวงพ่อตอบว่าจะไปบ้านผู้ใหญ่ซวยฉ่อง ตาแลจะไปด้วยกันไหม ตาแลบอกว่าจะมืดแล้ว (ขณะนั้น 5 โมงครึ่ง) อย่างไปเลย ที่ดงสักมีงูเห่าตัวใหญ่มาฉกวัวตาย เจ้าของวัวยังมาขอให้ตำรวจไปยิงงู หลวงพ่อได้ยินก็ห้ามตาแลว่าอย่าไปยิงเลย จากนั้นท่านเดินต่อไป ตาแลเป็นห่วงจึงตามหลังมาด้วย พอถึงดงสักพบงูเห่าพอดี อยู่ตรงที่กัดวัวตาย งูนั้นมีขนาดลำตัวเท่ากระติกน้ำขนาดกลาง ความยาว 3 วา กลิ่นสาปรุนแรงมาก ตอนแรกงูขดตัวอยู่ พอเห็นหลวงพ่อก็ชูหัวท่อนบนขึ้นแผ่พังพานใหญ่และยกตัวขึ้นสูงกว่าหลวงพ่อเสียอีก

หลวงพ่อยืนแผ่เมตตาให้งู ส่วนตาแลร้องว่าแผ่เมตตาไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่หนีก็ต้องยิงล่ะ เก็บไว้ก็จะเป็นอันตรายต่อสัตว์และมนุษย์ หลวงพ่อบอกว่า อย่าพูดเชียวนะว่าจะฆ่าเขา งูเขารู้ เดี๋ยวเขาตามไปถึงบ้านเลย แล้วท่านก็พาตาแลหลีกทางไปให้พ้นงู

อยู่มาอีก 3 วัน มีคนมานิมนต์หลวงพ่อไปรักษาคนป่วยที่หมู่บ้านวังกะล่าง ระหว่างทางหลวงพ่อได้ยินเสียงชาวบ้านเอะอะอยู่กลางทุ่งนา นึกว่าพวกมอญ กะเหรี่ยง และละว้าตีกัน เพราะได้ยินเสียงหลายภาษาขรมไปหมด จึงแวะเข้าไปดู เห็นมอญ กะเหรี่ยง ละว้า ล้อมงูใหญ่อยู่ เป็นงูเห่าตัวที่หลวงพ่อเคยห้ามตาแลไม่ให้ยิงนั่นเอง งูกำลังแผ่พังพานทำท่าสู้ ชาวบ้านบอกว่า งูตัวนี้ออกมาจากรูหรือจากป่าก็ไม่รู้ สงสัยว่ากำลังจะเลื้อยขึ้นเขา หลวงพ่อจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นไปล้อมเขาไว้ทำไม ชาวบ้านบอกว่า เนื้องูอร่อยดีและตัวนี้น่าจะได้เนื้อหลายกิโล

หลวงพ่อมีความเมตตางูตัวนั้น จึงบอกกับชาวบ้านว่า งูตัวนี้เขามาเฝ้าหลวงพ่ออยู่ เพื่อไม่ให้งูตัวอื่นมาทำร้าย เป็นงูของเจ้าป่าเจ้าเขา ชาวบ้านได้ยินเลยยกมือไหว้งู แล้วพากันแยกย้ายจากไป

เรื่องของงูใหญ่ยังมีอีกมาก หลวงพ่อเล่าว่า งูใหญ่ลอกคราบ 3 ปีต่อครั้ง เวลาลอกคราบจะอ่อนแอ ต้องอยู่ในรู แต่งูใหญ่มักมีเดชะ สามารถอธิษฐานเอาดินวงล้อมปากรูไว้ สัตว์ (หรือมนุษย์) หลงเข้าไปจะงงงวยหาทางออกไม่ถูก”

เกี่ยวกับการฆ่างูนั้น หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพฯ นครพนม เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าอยากให้พญานาครักเรา อย่าไปฆ่างู” เข้าใจว่าบรรดางูน้อยใหญ่สารพัดชนิดล้วนเป็นบริวารของพญานาค ดังที่ปรากฏอยู่ในตำนานหลายเรื่อง

คุณวรพร เมื่อเล่าเรื่องหลวงพ่อพบพญางูยักษ์ให้ฟังแล้ว ได้กล่าวย้ำว่า ถ้าเป็นชาวพุทธจำเป็นต้องเชื่อว่าพญานาคมีจริง มีฤทธิ์มีคุณ มีเดชะอานุภาพจริง

แต่ว่าพญานาคทั้งมวลก็คงจะเหมือนมวลมนุษย์ชาติในโลกที่มีหลากหลายชาติพันธ์ หลายลักษณะ ทั้งผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง ทั้งยังมีหลายศาสนา และแม้แต่ไม่มีศาสนา มีทั้งใจดีและใจร้าย มีทั้งประพฤติธรรมและไม่ประพฤติธรรม ครั้นเมื่อรวมพวกเขาไว้ด้วยกันแล้วเขาก็คือ พญานาค หรือรวมทุกชาติพันธ์ของมนุษย์ก็คือมนุษย์ด้วยกัน ถ้ามีมนุษย์ต่างดาวบุกเข่นฆ่ามนุษย์สักเผ่าพันธ์หนึ่ง มนุษย์ทุกเผ่าพันธ์ที่เหลือย่อมรวมตัวกันสู้ เฉกเช่นเหล่าพญานาคเมื่อลูกหลานบริวารถูกรังแกเข่นฆ่า พวกเขาก็จะลงมือกับผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา

ดังนั้นคำพูดของหลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพฯ นครพนม จึงเป็นคำพูดที่ควรจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ แม้แต่คำพูดของคุณวรพรก็ควรจะให้เป็นข้อพิจารณาว่าเราเป็นชาวพุทธหรือไม่ เพราะว่าในพระไตรปิฏกหรือพุทธประวัติก็ได้ลงเป็นหลักฐานในการปรากฏตัวของพญานาคผู้ซึ่งมีความเลื่อมใสพุทธศาสนาเหมือนพวกเรา จึงเป็นเหตุให้ได้ยินจากปากพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายองค์ที่ได้เล่าถึงการประสพพบเห็นพญานาคที่รักษาพุทธศาสนาตลอดมา

 

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน