“รุ่นแรกของวัด แก่งตอย รูปเหมือนหลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ อุดเกล็ดพญานาคกับเกล้านางนี”

วัดแก่งตอย เดิมเป็นวัดร้าง ไม่มีพระอยู่ประจำได้นานเกิน 3ปี
เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรได้สรุปผลการตรวจสอบวัดแก่งตอยแล้ว ได้ความว่า ที่นี่เป็นเขตชุมชนโบราณ มีสิ่งก่อสร้างศาสนาพรามหณ์และพุทธชำรุดทรุดโทรม และจมดินอยู่ตลอดบริเวณ คำนวณอายุได้ว่าประมาณ 1,300ปี ล่วงมาแล้ว
แม้เป็นสถานที่ร้าง แต่คนทั่วไปทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่เข้าใจดีว่าที่นี่เป็นวัด
ถึงจะมีพระอยู่หรือไม่มีพระอยู่ ก็เข้าใจอย่างนี้

สมัยหลวงปู่โทน กันตสีโลยังมีชีวิตอยู่ ท่านมาที่นี่บ่อย มาพักค้างคืนบ้าง หรือมาแวะชั่วคราวตามอัธยาศัย
เนื่องจากว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ไกลจากวัดบูรพา บ้านสะพือ ที่ท่านพำนักอยู่ประจำ
แต่ไม่ปรากฎว่าท่านจะคิดพัฒนา สถานที่แห่งนี้ให้เกิดเป็นวัดที่ชัดเจน หรือคิดจะจัดการอย่างไรกับที่นี่ คงเพียงแวะมา แล้วก็กลับไป

หลายปีก่อน หลวงปู่พรหมา เขมจาโร ก็เคยมาที่วัดแก่งตอย
ท่านรับนิมนต์ชาวบ้านใกล้วัดมาเพื่อสำรวจตรวจดู ตามวิธีของท่านว่าทำไม หรือเพราะอะไร จึงไม่มีพระอยู่อาศัยได้ ทั้งๆที่เป็นสถานที่น่าสนใจมากอย่างนั้น
หลวงปู่พรหมาพักแรมคืนอยู่ 3วัน และท่านได้บอกแก่ญาติโยมละแวกนั้นว่า
“ที่นี่จะไม่มีใครอยู่ได้เลย ตราบใดที่เจ้าของที่แท้จริงจะยังไม่มา”
เมื่อถูกถามว่าเมื่อไหร่เจ้าของ สถานที่แห่งนี้จะมา
ท่านตอบว่า “อีก 4ปี”

4ปีต่อมา-เดือนตุลาคม พ.ศ.2536 วันที่และเวลาไม่ทราบชัด(ลืม)
พระหนุ่มน้อย วัย 23ปี เพิ่งบวชใหม่ได้ 1พรรษา เดินทางมาที่นี่อย่างเงียบๆ และตั้งใจพำนัก อยู่ที่นี่ตามลำพัง
เมื่อท่านมา ก็เกิดมีศรัทธาจากผู้คนเข้ามาอยู่อุปัฏฐากสนับสนุนท่านอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ท่านอยู่ได้ และท่านก็อยู่ได้จนถึงบัดนี้

ท่านชื่อเวทย์ บวชกับหลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม
พรรษาแรก ท่านอยู่กับหลวงปู่คำพันธ์ในวัดป่าใกล้วัดธาตุมหาชัย
พอออกพรรษาท่านก็มาที่นี่ ซึ่งการมาที่นี่นั้น หลวงปู่คำพันธ์ก็ทราบดีตลอด
และให้กำลังใจแก่ท่านอีกทางหนึ่ง ในฐานะอาจารย์กับศิษย์เพื่อให้ศิษย์อยู่ได้
ซึ่งการสนับสนุนที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ ท่านรับวัดแก่งตอยไว้เป็นวัดสาขาของวัดธาตุมหาชัย เป็นสาขาแห่งแรกในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี

พระเวทย์จะเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ดังคำของหลวงปู่พรหมา เขมจาโร ได้พยากรณ์เอาไว้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ต้องคอยดูกันต่อไป แต่คำพยากรณ์ชั้นต้น
แสดงความจริงแล้วคือ พระเวทย์มาที่นี่เมื่อเวลาผ่านมาได้4ปีพอดี

 

3ปีต่อจาก นี้ไป หากพระเวทย์สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างปกติ
ความเป็นเจ้าของสถานที่ แห่งนี้ก็จะปรากฏชัด

ผมได้เรียนถามพระเวทย์ถึงเรื่องเฮี้ยนของ วัดแก่งตอย เป็นความสนใจอยากรู้ว่าจริงหรือไม่กับคำเล่าลือ
พระเวทย์ ตอบเลี่ยงๆว่าโดยมากญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมค้างคืนในวัด  มักเป็นผู้ประสบในรูปของความฝันหรือนิมิตเกี่ยวกับภูมิเจ้าที่ผู้รักษาสถานที่นี้

แต่นั่นก็เป็นแค่ความฝันที่ยังไม่น่าสนใจนัก
ซึ่งผมได้พยายามซักไซ้ต่อไป จนกระทั่งพระเวทย์ต้องยอมเล่าถึงเรื่องที่ท่านประสบเอง
สิ่งที่ท่านพบนั้น ท่านว่า ถึงกับลุกขึ้นจะวิ่งหนี

คงต้องบอกว่าผมรู้จักพระเวทย์มานาน
ก่อนสมัยท่านบวชเป็นพระ ท่านเป้นผู้ที่คงความลี้ลับไว้มากมายหลายอย่าง เกินกว่าจะอธิบายได้ในข้อเขียน
และทราบจริงว่าท่านเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญเป็นเลิศ
ซึ่งความกล้าหาญของท่านเป็นสิ่งที่ผมอยากมีอย่างท่านในบางเรื่องที่คนทั่วไปขลาดกลัว อย่างเช่นเรื่องภูติผีปีศาจ พระเวทย์ไม่เคยกลัว

แต่เรื่องที่ทำให้พระเวทย์ถึงกับลุกขึ้นจะวิ่งหนีนั้นเป็นอะไร
ท่านบอกว่าคืนหนึ่งหลังจากสวดมนต์ไหว้พระตามลำพังองค์เดียวในวัดแก่งตอย ภายในศาลากงโกรยที่พออาศัยคุ้มแดดฝน ท่านเอนหลังจะนอน
แค่เอนหลังลง ท่านก้ได้เห็นฝูงคนนับร้อยนับพันถืออาวุธนานาชนิดกรูเข้ามาเต็มวัด จะเล่นงานท่าน

ขาดสติไปทันที

ลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตู ศาลา หมายจะวิ่งหนีเอาตัวรอด
พอถึงประตูจึงได้สติระลึกรู้ว่า นี่เราบวชมาเพื่ออะไร จะหนีตายนั้นหนีพ้นหรือ และถึงขนาดนี้แล้ว ครูบาอาจารย์จะไม่ช่วยหรือ

ท่านว่าขณะนั้นระลึกถึงหลวงปู่คำพันธ์

นาทีคับขันอย่างนั้น ใครจะเชื่อว่ายังจะมีปาฏิหารย์เกิดขึ้น
หลวงปู่คำพันธ์ปรากฏกายอยู่ข้างหน้า ไม่ทราบว่าท่านมาจากไหนได้อย่างไร
แต่ท่านได้หันมามองพระเวทย์และยิ้มให้ แล้วเดินตรงไปที่ฝูงคนทั้งหลายเหล่านั้น

“หลวงปู่ทำอาการเหมือนไปพูดคุยกับคนเหล่านั้น ครู่หนึ่งท่านก็หายไป
ดูไม่ออกว่าท่านหายไปทางไหน”

ทั้งหมดนี้พระเวทย์บอกผมว่าเห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ได้ฝันหรือนั่งภาวนาเห็น

หลังจากนั้นคนที่ดูจะเป็น หัวหน้าของคนฝูงนั้นได้เดินเข้ามากราบท่าน
เพื่อขอขมาลาโทษ เขาได้กล่าวว่าที่พวกผมมาที่นี่กันก็เพราะเห็นว่าท่านเก่งยังไงถึงมาอยู่ที่นี่ ทุกคนที่พบเห็นพวกผมแบบที่ท่านเห็น ไม่ตายก็เป็นบ้า

“พวกเขาบอกแล้วก็กลับไป”พระเวทย์เล่า
“วันรุ่งขึ้น ตัดสินใจไปหาหลวงปู่คำพันธ์ที่นครพนมทันที อยากจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ท่าน เมื่อไปถึง กราบท่าน ยังไม่ได้พูดอะไร ท่านก็กล่าวว่า
“ให้อดทนอยู่ต่อไป พวกนั้นยังมีทิฏฐิกันอยู่ ให้ประพฤติปฏิบัติต่อไปอย่างเคร่งครัด ก็จะค่อยคลี่คลายไปเอง”

หลวง ปู่คำพันธ์ทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว

อย่าสงสัยเลยว่าท่านทราบได้ อย่างไร
หรือที่ท่านไปปรากฏกายอยู่ที่วัดแก่งตอยในคืนเกิดเหตุนั้น ท่านไปจริงหรือไม่อย่างไรก็ไม่ต้องสงสัย

เรื่องนี้นับว่าแปลกประหลาดดี

พระเวทย์ได้เล่าว่า เมื่อมาอยู่ที่วัดแก่งตอยใหม่ๆ ก็ได้เล่าความเป็นไปหรือเป็นมาของวัดแห่งนี้ให้หลวงปู่คำพันธ์ทราบโดยตลอด
ได้ให้ญาติโยมถ่ายภาพสถานที่ของวัดในแง่มุมต่างๆส่งไปให้หลวงปู่คำพันธ์ดู
ซึ่งท่านก็ได้กล่าวฝากถึงพระเวทย์ว่านั่นเป็นสถานที่ดี
เป็นเหตุให้พระเวทย์มีความมั่นใจยิ่งขึ้นในอันที่จะคิดพัฒนาสถานที่ร้าง ให้กลายเป็นวัด อย่างจริงจัง

สิ่งแรกที่คิดกับญาติโยมในการพัฒนาวัดก็คือการสร้าง ประตูโขง หรือประตูวัดเพื่อประกาศตัววัดให้ชัดเจนก่อน ต่อจากนั้นจึงจะทำกำแพงล้อมอาณาเขตวัดเอาไว้
แต่การคิดการณ์ใหญ่ อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเนรมิตเอาได้ดังใจ
เพราะมันจะต้องใช้เงิน เป็นจำนวนมากโข

ในยุคสมัยที่มีอามิสตอบแทนในการทำบุญบริจาคทรัพย์ ของศรัทธาทั่วไป ด้วยพระเครื่องหรือวัตถุมงคล พระเวทย์จึงกราบเรียนขออนุญาตหลวงปู่คำพันธ์ เพื่อดำเนินการหาปัจจัยตาม สมัยนิยม ซึ่งหลวงปู่ก็ได้อนุญาตอย่างเต็มใจ

พระเครื่องรุ่นแรก ของวัดแก่งตอยจึงอุบัติขึ้น

มีพระเครื่องทั้งหมด 4พิมพ์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1.รูปเหมือนเนื้อผงเกสรผสมว่าน ก้นอุดเกล็ดพญานาคกับเกล้านางนี ชนิดลอยองค์ องค์ละ 500บาท จำนวนสร้างประมาณ356องค์

2.รูปเหมือนหลวงปู่เนื้อผงเกสรผสมว่าน เนื้อเดียวกับชนิดลอยองค์ พิมพ์สี่เหลี่ยม จำนวนสร้างพันกว่าองค์ องค์ละ 200บาท

3.รูปเหมือนเนื้อผงพิมพ์รูปไข่ องค์ละ 20บาท จำนวนสร้าง1หมื่นองค์
4.พระสมเด็จเนื้อผง องค์ละ20บาท จำนวนสร้าง1หมื่นองค์

ทั้งหมดนี้หลวงปู่คำพันธ์มีเมตตาเดินทางมาทำ พิธีพุทธาภิเษกให้ที่วัดแก่งตอย ด้วยตัวท่านเอง เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2537

เกี่ยวกับเกล็ดพญานาคกับเกล้านางนี ที่อุดก้นรูปเหมือนชนิดลอยองค์นั้น เป็นของแปลกที่เพิ่งจะรู้จักว่ามีการ นำเข้ามาบรรจุในพระเครื่อง และยากยิ่งที่จะกล่าวโน้มนำให้ผู้คนที่ได้ ยินเกิดความเชื่อถือว่าของที่ใช้อุดนั้นเป็นจริงหรือไม่จริง

เฉพาะเกล็ดพญานาคนั้น แทบจะกล่าวได้ว่าเป็นเสมือนของที่มาจากตำนานหรือนิทาน ซึ่งไม่น่าจะมีจริง ถ้ามีขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่อุปโลกน์กันเท่านั้น

ผมเคยรู้จักและได้เห็นเกล็ดพญานาคที่เจ้าของเขายืนยันว่าใช่มามาก แต่ละครั้งที่เห็นเกล็ดพญานาคไม่เคยมีลักษณะเหมือนกันสักที จึงไม่อาจรับรองว่าอย่างไหนเป็นเกล็ดพญานาคแท้หรือไม่แท้ คงเพียงจดจำลักษระต่างๆ เอาไว้เป็นข้อมูลประกอบในการเห็นครั้งต่อไป

เกล็ดพญานาคจากสำนักหนึ่งซึ่งผู้นำมาแสดงแก่ผม ได้กว่าวว่าเขาได้รับมาจากหลวงปู่คำน้อย วัดภูกำพร้า จังหวัดมุกดาหาร ผมไม่ทราบว่าเขาเข้าใจผิดหรือไม่ว่าได้มาจากหลวงปู่คำน้อย แต่เกล็ดนั้นก็คือหินอุลกมณี หรือที่เรียกกันพื้นๆ ว่าหินเสก็ดดาว ไม่ใช่เกล็ดพญานาคอย่างแน่นอน แต่เจ้าของเขาเชื่อว่าเป็นเกล็ดพญานาคที่หลวงปู่คำน้อยยืนอุ้มบาตรอธิษฐานขอกลางแจ้ง

อีกครั้งหนึ่ง ได้เห็นจากคุณชัยสิทธิ เตชะศิริกุล ซึ่งบอกผมว่าได้มาจากพระรูปหนึ่ง ซึ่งคุณชัยสิทธิก็ไม่ทราบว่าเป็นเกล็ดพญานาคจริงหรือไม่ แต่เมื่อพระรูปนั้นให้มาก็เก็บเอาไว้ เพราะเห็นว่าเป็นของแปลกดี

ลักษณะเกล็ดพญานาคที่คุณชัยสิทธิเป็นเจ้าของนั้นดูเข้าเค้า เสียแต่ว่าเบาบางเกินไป จนดูเหมือนเกล็ดงูขนาดใหญ่ที่เพิ่งลอกคราบ เวลาเอาเกล็ดนั้นมาวางไว้กลางฝ่ามือ ก็ม้วนตัวเองเป็นหลอดกลมๆ พอเปลี่ยนข้างใหม่ก็ม้วนกลับอีกข้างได้ ทุกวันนี้คุณชัยสิทธิยังคงเก็บเกล็ดพญานาคนี้ไว้ ใครผ่านไปแถวร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป (จำชื่อร้านไม่ได้) ตรงข้ามร้านขาหมูทวีผลในเมืองอุบลฯ ให้ขอดูคุณชัยสิทธิคงจะให้ดู

ส่วนเกล็ดพญานาคที่ใช้อุดก้นรูปเหมือนหลวงปู่คำพันธ์ ผมเห็นแล้วก็น้อมใจเชื่อว่า ข้าเค้าที่สุด ลักษณะเป็นเกล็ดหนา แข็งแรง มีรูปแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนที่เคยเห็นหรือเข้าใจมาก่อน ถ้าส่องด้วยกล้องขยาย จะเห็นลักษณะชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเป็น cellของสัตว์

พระเวทย์อธิบายว่าได้รับเกล็ดพญานาคชิ้นนี้มาจากพระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่านได้เห็นพญานาคขึ้นมานอนผึ่งแดดที่หาดทรายริมแม่น้ำโขง และเฝ้าดูจนพญานาคตัวนั้นกลับลงน้ำ จึงเข้าไปตรวจดูรอยนอน พบเกล็ดของมันหลุดตกอยู่ จึงเก็บมา ซึ่งพระเวทย์ก็ได้นำเกล็ดพญานาค ชิ้นนี้ไปถวายหลวงปู่คำพันธ์ดูอีกครั้ง ถามท่านว่าเป็นเกล็ดพญานาคจริง หรือไม่ ท่านตอบว่า

“ถ้าเขาว่าจริงก็จริง”

เป็นคำตอบที่ฟังแล้วต้องคิดปลงใจเชื่อหรือไม่เชื่อเอาเอง
ตอนที่ถวายหลวงปู่ดูนั้น ไม่ทันคิดหรือวางแผนจะเอาเกล็ดพญานาคมาทำอะไร
คงเพียงแต่คิดเก็บเอาไว้เท่านั้น

ส่วนเกล้านางนี เป็นเรื่องที่อธิบายยาก คงบอกคร่าวๆได้เพียงว่าเป็นเส้นผมที่เกิดอยู่บนศีรษะของสตรีที่เชื่อว่า ต้องเป็นคนมีบุญเท่านั้น ลักษณะของเกล้านางนี จะเป็นเส้นผมที่ขมวดตัวเองพันเป็นเกลียวแน่น ถ้ามีผู้ถือวิสาสะไปจับต้องเส้นผมนี้โดยไม่บอกกล่าวเจ้าของเสียก่อน เจ้าของจะล้มป่วย

โดยมากเชื่อกันว่าถ้าใครมีเกล้านางนีไว้แล้วจะเป็นสื่อนำโชคดีมาค้ำจุนผู้ครอบครองให้เจริญรุ่งเรืองไปข้างหน้า บางท่านนำเกล้านางนีมาเลี้ยงไว้ในน้ำหอม เกล้านางนี
จะงอกยาวขึ้นมาเอง และยังรักษาFormเดิม คือขมวดตัวเป็นเกลียวแน่น

เรียกว่าเป็นของประหลาดที่วิทยาศาสตร์ยังจะต้องค้นคว้ากันต่อไป เพื่อหาคำอธิบายว่าทำไมจึงเป็นไปได้แบบนั้น

เกล้านางนีที่นำมาอุดก้นรูปเหมือนหลวงปู่คำพันธ์นี้ เป็นเกล้านางนีที่อยู่บนศีรษะโยมแม่ของพระเวทย์ เดิมโยมแม่ของพระเวทย์ไม่เคยมีเกล้านางนี แต่พอตั้งครรภ์พระเวทย์
เกล้านางนีก็เกิดขึ้น

ก่อนที่จะเกิดเกล้านางนี โยมแม่ได้ฝันว่า มีพญานาคมาบอกว่าเป็นปู่ของพระเวทย์ที่มาเกิดกับโยมแม่ มาเพื่อฝากผมขมวดนี้ไว้ให้พระเวทย์ผู้เป็นหลาน เมื่อพระเวทย์อายุครบ 20ปีเมื่อไหร่ ให้มอบผมนี้ให้พระเวทย์ พอตื่นขึ้นมา ผมตรงกลางศีรษะก็มีลักษณะแปลกๆ และงอกยาวขึ้นเรื่อย ตามวันคืนที่ล่วงไป

เรื่องนี้ผมได้รับฟังมานานปีก่อนที่พระเวทย์จะมีอายุครบ20ปี และก่อนที่ท่านจะบวชเป็นพระ จึงได้แต่ตั้งใจว่าจะคอยดูเรื่องนี้ต่อไป เรื่องจะลงเอยอย่างไร จะเป็นดังที่กล่าวมาหรือไม่ และหากพระเวทย์อายุครบ 20ปี ผมที่ปู่มาเข้าฝันว่าฝากไว้ให้พระเวทย์ จะมีการมอบให้อย่างไร จะมาเกิดที่ศีรษะพระเวทย์ หรือฝันของโยมแม่ จริงหรือไม่จริง มันก็แค่ฝัน

หลวงปู่คำพันธ์ก็ทราบ เรื่องเช่นกัน ซึ่งโดยนัยแล้ว ท่านรักและเมตตาพระเวทย์เสมือนพระเวทย์ เป็นลูกชาย จนกระทั่งพระเวทย์มีอายุใกล้ครบ 20ปี หลวงปู่คำพันธ์จึงบอกว่าท่านจะเป็นผู้ทำพิธีตัดเกล้านางนีออกจากศีรษะโยมแม่ของะระเวทย์ และสั่งให้พระเวทย์บวชอีกด้วย

กำหนดวันทำพิธีตัดเกล้านางนีผมก็รู้อยู่ แต่ผมติดธุระสำคัญทางกรุงเทพฯ จึงทำให้พลาดโอกาสติดตามพระ เวทย์ไปดูพิธี นับว่าน่าเสียดายยิ่ง

หลังจากตัดเกล้านางนีให้แล้ว หลวงปู่ได้มอบเกล้านางนีให้เป็นสมบัติของพระเวทย์เก็บรักษาไว้โดยทำไม้เท้ากลวง เอาเกล้านางนีใส่ไว้ในช่องกลวงของไม้เท้านั้น

20ปีเต็ม ของเกล้านางนี เท่ากับอายุพระเวทย์ เกล้านางนีมีความยาวประมาณ 1ช่วงแขนใส่ไม้เท้าพอดี

เกล้านางนีเลยมีอันได้เป็นของพระเวทย์เมื่อท่านอายุค รบ20ปีเต็มโดยวิธีนี้เป็นอันลงเอยได้ง่ายๆ

คนทั้งหลายก็คงจะ แปลกตาแปลกใจ ที่เห็นพระหนุ่มน้อยไปไหนมาไหนไกลๆวัดจะถือไม้เท้าไปด้วย

เมื่อพระเวทย์สร้างพระชุดนี้ขึ้นในตอนแรกก็ยังไม่มีเรื่องของเกล็ดพญานาคกับเกล้านางนี มาเกี่ยวข้อง ท่านลงมือกดพิมพ์พระทั้งหมดดด้วยตัวท่านเอง โดยมีพระอีกรูปหนึ่งวัยไล่เรี่ยกันซึ่งธุดงค์มาจากที่อื่นและมาอยู่ด้วย กับท่านที่วัดแก่งตอย เป็นผู้ช่วยกดพิมพ์

ได้พระเครื่อง2พิมพ์
คือพิมพ์พระสมเด็จ ด้านหลังเป็นยันต์มหาปราถนา กับพิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่ รูปไข่ ด้านหลังเป็นยันต์มหาปรารถนาเช่นเดียวกัน
แต่ละพิมพ์มีจำนวน พิมพ์ละ1หมื่นองค์
แต่พระที่กดพิมพ์ขึ้นนั้น ไม่ค่อยสวยดังใจ
จึงได้มีการสร้างสมทบขึ้นอีก2พิมพ์ คือ รูปเหมือนลอยองค์ กับพิมพ์รูปเหมือนทรงสี่เหลี่ยม

เพราะเหตุวาได้สร้างพิมพ์ลอยองค์ขึ้นมา จึงเกิดความคิดขึ้นทันทีว่าควรจะเอาเกล็ดพญานาคกับเกล้านางนีมาอุดก้น
โดยนำเกล็ดพญานาคมาตำจนละเอียด และตัดเกล้านางนีเป็นเส้นสั้นๆคลุกเคล้า กับผงขี้เหล็กไหลที่เหลือจากใช้อุดก้นรูปเหมือนรุ่น1 กับฤๅษีรุ่น 6 ของหลวงปู่พรหมา เขมจาโร

นอกจากนี้มวลสารที่ก่อขึ้นเป็นเนื้อเป็นองค์ พระก็มีผงว่าน108 ซึ่งหลวงปู่พรหมาได้ปลุกเสกไว้แล้วเป็นส่วนผสมสำคัญ
ที่จะต้องกล่าวถึงอีกอันหนึ่งคือผงเกสร108เป็นละอองที่ผึ้งเก็บมาไม่ใช่มนุษย์ เป็นผู้เก็บละอองเกสร108 หรือเรียกง่ายๆว่าเกสรผึ้งนี้ พวกเลี้ยงผึ้งรู้จักกันดี
กว่าจะรวบรวมได้จำนวนหนึ่ง ต้องเสยเวลามากมายพอดู และเกสรที่นำมาผสมสร้างพระชุดนี้ก็ได้รับความ อนุเคราะห์จากคุณสหชาติ ปิยาภิชาติ จากจังหวัดน่านส่งมาให้

เกสรผึ้งจะมีผสมอยู่ในพระทั้ง4พืมพ์ แต่มีมากในรูปเหมือนลอยองค์ กับรูปเหมือนพิมพ์สี่เหลี่ยม

วันที่ 2เมษายน คือกำหนดพิธีพุทธาภิเษกพระทั้งหมด ซึ่งหลวงปู่คำพันธ์ได้ส่งอาจารย์อ๊อด (รังสรรค์ ธนะรัชต์) ผุ้มีศักดิ์เป็นหลาน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาจัดทำมณฑลพิธีให้ถูกต้อง
เสียดาย ที่ไม่ได้พบกับอาจารย์อ๊อด เพราะว่าท่านรักใคร่เมตตาผมดีอยู่

พอผมเข้าวัดแก่งตอยท่านก็เข้าเมืองสวนกันอยู่อย่างนี้
ถ้าพบกันก็ยังพอจะมีเรื่องคุยมาฝากผู้อ่านเพิ่มเติม
เพราะว่าท่านผู้นี้ก็มีอะไรพิเศษทางสัมผัสสิ่งลี้ลับอยู่พอสมควร
โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพวกเทพเทวดาหรือภูมิเจ้าที่ ท่านมักสัมผัสได้

หมายกำหนดการพิธีพุทธาภิเษกจะกระทำ กันตอนกลางคืนของคืนวันที่2(เมษายน) เสกกันยันสว่าง
หลวงปู่คำพันธ์จะมาในพิธีด้วย ซึ่งได้อาราธนาคณาจารย์มาร่วมพิธีอีกหลายรูป

ประมาณบ่าย3โมงกว่าๆของวันที่2 หลวงปู่คำพันธ์ก็มาถึงวัดแก่งตอย
ท่านมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงกำหนดการ
เพราะมีความจำเป็นต้องรับนิมนต์เจ้าคณะ จังหวัดนครพนมไว้
ไม่สามารถจะอยู่กระทำพิธีตามหมายเดิมได้

เมื่อมาถึงได้ตรวจดูมณฑลพิธีแล้วก็แสดงความพอใจว่าทำได้ถูกต้องดี
และได้ดูพระเครื่องทุกพิมพ์ที่พระเวทย์นำมาถวายท่านก่อนเข้าพิธี

หลวงปู่ได้สอบถามถึงการสร้างพระทุกพิมพ์ ท่านบอกว่า
พิมพ์สมเด็จกับรูปเหมือน รูปไข่ที่เห็นว่าไม่สวยนั้นก็ใช้ได้อยู่
และให้ความสนใจซักถามเกี่ยวกับรูปเหมือนลอยองค์กับรูปเหมือนพิมพ์สี่เหลี่ยม

ท่านพอใจที่มีการ เอาเกสรผึ้งมาสร้าง ซึ่งนับว่าแปลกดี
และยังได้แนะนำว่าต่อไปให้เอาเปลือกแคหอมผสมด้วย พระจะได้มีกลิ่นหอม

“รูปเหมือนนี้เอาอะไรอุดก้นไว้” หลวงปู่คำพันธ์แสดงความสนใจ

“เอาเกล็ดพญานาคกับเกล้านางนีอุดไว้ครับ” พระเวทย์กราบเรียน

“ทำไมจึงคิดเอาสองสิ่งนี้มาอุด”

“ผมอยากให้พระนี้ดี”

“ดีแล้ว” หลวงปู่กล่าวชมเชย และยังได้บอกอีกว่า

“พระชุดนี้มีอานุภาพอยู่ในตัวเอง หลวงปู่ไม่ต้องทำอะไรให้อีกก็ยังได้”

คำบอกกล่าวนี้ฟังไม่ออกว่าดีอยู่แล้วอย่างไร
จะดีเพราะอำนาจ ของเกล้านางนีกับเกล็ดพญานาค
หรือเพราะผงว่าน108 ที่หลวงปู่พรหมาเสกไว้ก่อนแล้วก็เป็นได้ทั้งสิ้น

หลวงปู่คำพันธ์ได้บอกต่อไปว่า
ท่านจำเป็นต้องรีบกลับนครพนม เพราะรับนิมนต์ที่เลี่ยงไม่ได้ จึงต้องเข้าทำพิธีปลุกเสกก่อนตามลำพัง องค์เดียวในเวลาบ่าย4โมงเย็น

ท่านบอกว่าฤกษ์พิธีวันนี้ไม่ดี ไม่เหมาะแก่การทำพิธีพุทธาภิเษกพระ
แต่ท่านได้แก้ไขให้ด้วยอุปโลกน์ฤกษ์ใหม่ให้เป็นฤกษ์วันที่3 ซึ่งดีกว่า

ท่านให้ความมั่นใจแก่พระเวทย์และทุกคนก่อนเข้าพิธีปลุกเสกว่า

“หลวงปู่มีเวลาทำน้อย แต่จะทำให้ดีท่สุด”

กล่าวแล้วท่านก็เข้าไปในมณฑลพิธี ทำพิธีปลุกเสกพระอยู่เพียงผู้เดียว ท่านเสกอยู่นาน1ชั่วโมง เต็ม(16:00-17:00น)

หลังเสกเสร็จแล้ว ท่านได้บอกว่า
พระทั้งหมดนี้ดีมาก แล้วแต่จะอธิษฐานไปทางไหน ภูมิเจ้าที่ของวัดก็เป็นภูมิที่มี อำนาจมาก ในคืนนี้ที่จะมีพิธีปลุกเสกตามกำหนดเดิมนั้น พระบางองค์จะนั่งปรกปลุกเสกไม่ได้

ท่านบอกแล้วก็กลับนครพนมไปทันที ทิ้งคำพูดปริศนาไว้ข้างหลัง

คืนนั้นคำพูดของหลวงปู่คำพันธ์ก็แสดงความจริง
พิธีพุทธาภิเษกเริ่มไปได้เล็กน้อย
พระคณาจารย์ทั้งหมดพา กันเลิกนั่งปรกแล้วนั่งสนทนากันทั้งมณฑลพิธี
มีเพียงพระอาจารย์กิ วัดสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลฯ เท่านั้นที่นั่งปรกได้ตลอดพิธีเพียงองค์เดียว

พระคณาจารย์เหล่านั้นได้บอกพระเวทย์ว่า
ที่พากันนั่งคุยกันนั้นไม่ได้หมายความว่าไม่เต็มใจนั่งปรกให้
แต่นั่งแล้วมัน ร้อนจนนั่งไม่ได้ อยากรู้ว่าพระเวทย์เอาอะไรมาเสก
ซึ่งพระเวทย์ก็ได้ บอกว่าเป็นเกสรผึ้ง108
ทุกท่านก็บอกว่าไม่น่าเป็นไปได้
ต้องมีอะไรบางอย่างลึกซึ้งกว่านั้น

นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สุดเท่า ที่เคยเห็นมา
ซึ่งผมก็อยากจะหาคำอธิบายว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ แต่จนปัญญา หาไม่ได้ นอกจากจะคิดเดาไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งใครๆก็เดาเอาเองได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม พระชุดนี้นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง มีของแปลกๆ เป็นมวลสาร และยังมีเหตุ ต่อเนื่องไปถึงขนาดพระคณาจารย์นั่งปรกไม่ได้
เป็นพระดีที่ด้องบอกกัน

ผมไม่หวังว่าอนาคตของพระชุดนี้จะดำเนินไปในแง่ของการสะสมอย่างไร
แต่ผมมั่นใจและให้คะแนนเต็มสำหรับพระชุดนี้ ที่จะอาราธนาขึ้นคอได้อย่างสบายใจ

เป็นพระที่เกิดขึ้นครบองค์ 3 คือ
เจตนาดี
จะหาปัจจัยสร้างประตูโขงกับกำแพงวัดโดยไม่มีเจตนาอื่นนอกจากนี้
มวลสารดี
มีเกล็ดพญานาคเกล้านางนี ผงว่าน108ของหลวงปู่พรหมา ผงขี้เหล็กไหล ผงดินพระธาตุพนม
ผงดินพระธาตุท่าอุเทน เกสรผึ้ง108
และ เสกดีคือ มีหลวงปู่พรหมาเสกผงไว้ชั้นหนึ่งแล้วยังได้องค์หลวงปู่คำพันธ์ปลุกเสก เดี่ยวอย่างเต็มที่

ใครจะคิดเป็นอื่นก็คิดไป
แต่ขอให้มีกันไว้ อย่างน้อยสักองค์หนึ่งพอเป็นที่ระลึกเถิด
ขอให้ติดต่อบูชาบริจาคปัจจัย ได้ด้วยตนเองที่วัดแก่งตอย ตำบลท่าเมือง อำเภอเมือง
หรือจะขึ้นกับอำเภอตระการพืชผล ก็ไม่ทันได้สอบสวนดู

รูปเหมือนลอยองค์อุดก้นด้วยเกล็ด พญานาคเกล้านางนี และผงขี้เหล็กไหล
ราคาองค์ละ500บาท

รูปเหมือนพิมพ์สี่เหลี่ยม ราคาองค์ละ 200บาท

รูปเหมือนพิมพ์รูปไข่ องค์ละ 20บาท

พระสมเด็จ องค์ละ 20บาท

ร่วมกันมีส่วนในประตูโขงกับกำแพงวัดแก่งตอยไว้เถิดครับ
ลูกศิษย์หลวงปู่คำพันธ์ทุกท่านอย่าเมินเฉย
แม้ไม่ใช่ลูกศิษย์ก็ เถอะ ขอให้มีพระดีๆไว้ทุกคน

ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสารศักดิ์สิทธิ์ ปีที่12 ฉบับ274 วันที่ 1มิถุนายน 2537

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน