จะเล่าเรื่องหลวงปู่พรหมา เขมจาโรให้ฟัง

ทีนี้มาฟังกันต่อ

การเดินทางไปวัดหลวงปู่สมัยปี2533-2537ยังไม่มีทางรถยนต์เข้าถึง
รถยนต์เริ่มวิ่งได้ก็ราวๆปี2538
ทางเดียวที่จะไปจะมาคือทางเรือ อีกทางก็เดินตัดป่ากันทั้งวัน

ไม่มีรถส่วนตัวก็อาศัยรถโดยสารจากตัวเมืองอุบลฯไปจนถึงบ้านสำโรงระยะทางร้อยกว่าโล
ใช้เวลามากสักหน่อย ด้วยเป็นรถหวานเย็น จอดกันบ่อยๆ จอดตามสถานีหลักแห่งละไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง
น่าเบื่อมาก
ถ้ามีรถส่วนตัวสะดวกขึ้น ถึงบ้านสำโรงก็หาที่ฝากรถกับชาวบ้านได้

ไปครั้งแรกก็เลี้ยวเข้าจอดใต้ถุนเรือนของป้าแก่ๆคนหนึ่ง ให้เงินแกไปร้อยบาทฝากดูรถไว้ไม่ให้คนลักสักคืน พรุ่งนี้จะกลับมาเอา
พอทิ้งรถเดินออกมายังไม่ถึงท่าเรือ ป้าแกวิ่งตามมาหน้าตาตื่นร้องเอะอะตกใจ
“รถเจ้าเป็นอะไรไม่รู้”
“เอ๊า..เป็นอะไรล่ะ”
“หัวรถเจ้ามันร้อน”

คือป้าแกไม่เคยมีรถยนต์ อย่าว่าแต่รถยนต์เลยมอเตอร์ไซค์ก็ไม่เคยมี
แกตื่นเต้นที่รถกระบะใหม่ล่าสุดเข้ามาจอดถึงใต้ถุนก็ไปลูบๆคลำๆดู เลยตกใจ

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็เย็น”
“กลัวเจ้าว่าข้อยไปทำให้มันร้อน”
“ไม่ว่า”
“แน่นะ”
“อ๋อแน่ซิ”

สมัยแรกๆนั้นไม่มีคนเดินทางไปมามากมายเหมือนช่วงหลัง มีแค่ชาวบ้านอาศัยเดินทางกันเอง
เรือจึงวิ่งแค่วันละเที่ยว ถ้าไปไม่ทันก็ตกเรือ ทีนี้จะเสียเงินเหมาแพงมาก

เรือ เที่ยวสุดท้ายจะออกจากบ้านสำโรงหลังเที่ยง แล้วก็ล่องตามน้ำโขงไปจนถึงบ้านดงนา ระยะทางไม่ทราบ แต่ว่าใช้เวลาอยู่ในเรือชั่วโมงกว่า
ช่วงแรกถ้าคนไม่เคยน้ำมีอันกลัวขี้หดตดหาย แค่ออกจากท่าบ้านสำโรงก็แล่นเข้าแก่งหมาบ้าทันที
น้ำเชี่ยวน่ากลัว
บางคนคุยจ้อๆไม่หยุดพอถึงแก่งหมาบ้าเงียบกริบ จ้อไม่ออก

พ้นแก่งหมาบ้าแม่น้ำโขงจะไหลเข้าช่องแคบ จากแม่น้ำที่เคยกว้างเป็นกิโล เหลือแค่คลองคอขวด
สองข้างเป็นหน้าผา โดยเฉพาะช่วงที่เรียกว่าผาชัน น้ำไหลเชี่ยวที่สุด
ขาไปไม่เท่าไหร่ด้วยว่าเรือล่องตามกระแส แค่อาศัยคนขับชำนาญหางเสือก็บังคับให้มันผ่านไปได้ไม่ยาก
แต่ว่าขากลับทารุณที่สุด ลองหลับตาฟังเสียงเครื่องยนต์จะนึกว่าเรือคงกำลังแล่นเร็วสุดขีด
ลืมตาเห็นคนเดินบนฝั่งเร็วกว่าเรือ

แม่น้ำโขงช่วงนี้กระแสน้ำโหดร้่ายมาก น้องๆหลี่ผีที่เมืองลาว มีคนตายน้ำทุกปี
บางเที่ยวเห็นศพลอยอืดข้างเรือ

ไม่มีใครสนใจ

ปล่อยให้เป็นอาหารของปลา

ตำรวจทหารไม่มี เห็นแค่ทหารลาวนั่งเต๊ะท่ากอดปืนอาก้าบนหน้าผาฝั่งลาว
เสียวสันหลังเหมือนกัน
ด้วยว่าเวลานั้นลาวกับไทยยังไม่ค่อยจะพูดจะจากัน ยังฮึ่มๆพร้อมจะถล่มใส่กันเมื่อไหร่ก็ได้

เขาเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยหลวงปู่มาที่นี่ใหม่ๆ เรือโดยสารที่หลวงปู่นั่งไปด้วยโดนทหารลาวยิงใส่ด้วยอาก้า
ชาวบ้านตกใจจะโดดน้ำหนี หลวงปู่ร้องห้ามเอาไว้ บอกทุกคนนั่งเงียบๆเฉยๆไม่ต้องตกใจ
เขาว่ากระสุนไม่ถูกเรือสักนัด
พวกชาวเรือชาวบ้านที่นั่นในเวลานั้นจึงนับถือหลวงปู่กันทั้งหมด


คนขับเรือคนหนึ่งเล่าว่าไม่ใช่โดนยิงแค่ครั้งเดียว
อย่างน้อยๆก็2-3ครั้ง จนต้องมีการแจ้งไปทางค่ายตชด.ที่บ้านสำโรง เปิดเจรจากัน เรื่องลอบยิงเรือโดยสารจึงสงบลง

ผมไปตอนที่เพิ่งสงบใหม่ๆ แต่ชาวบ้านเองบอกว่ายังไว้ใจไม่ได้
ผ่านพวกทหารลาวถือปืนริมผาเมื่อไหร่ก็ต้องระวัง
ห้ามกระพริบตาว่างั้นเถอะ

แม้น้ำโขงช่วงนั้นแคบมาก ผมนึกเชื่อว่าอาจเป็นจุดที่แคบที่สุดของแม่น้ำโขงอีกแห่งหนึ่ง
ประมาณว่าจากฝั่งไทยยันฝั่งลาวสัก30เมตรเท่านั้น

ถ้าเขายิงใส่ก็คือปิดประตูตีแมวนั่นเอง

น้ำตกที่เห็นตลอดสองข้างทาง มีน้ำแค่หน้าฝน พอแล้งก็นัดกันหายไปหมด
อาจมีชื่อ แต่ผมไม่ทราบ
ส่วนใหญ่น้ำตกจะอยู่ทางฝั่งลาวมากกว่า
ของไทยถ้าเรียกน้ำตกจะรู้สึกว่าบังอาจไปหน่อย

ส่วนท่านธีร์บรรยายเหตุการณ์นั่งเรือฝ่าน้ำเชี่ยว ผมชำเลืองตาอ่านแว๊บเดียวก็เข้าใจ
นั่นแหละครับอาการเดียวกัน
ผมกลัวขี้หดตดหายเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ

เรียกว่าสำเร็จอนาคตังสญาณกันตอนนั้น

คิอมองเห็นภาพล่วงหน้าว่าถ้าเรือที่นั่งไปมันล่ม
จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวกูล่ะหนอ
เด็กที่เพิ่งเกิดเมื่อเช้าก็มีอนาคตังสญาณในเรื่องนี้เหมือนกัน

ภาพตรงแก่งหมาบ้าจึงไม่เคยได้ถ่ายสักภาพ ฝอยน้ำที่กระเซ็นใส่ อย่าว่าแต่กล้องจะเปียกเลย เสื้อผ้ายังชื้น

ภาพ4-5นั่นคือตอนที่ยังพอเก็บภาพได้ พอเข้าเขตแก่งหมาบ้าก็เก็บกล้องสถานเดียว

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน