จะเล่าเรื่องหลวงปู่พรหมา เขมจาโรให้ฟัง

เรือเที่ยวแรกสำหรับการเดินทางครั้งแรกของผมนั้น นายทหารลาวขาวท่านนี้ก็ลงเรือลำเดียวกัน
ผู้โดยสารทั้งลำเป็นชาวบ้านดูแล้วเหมือนๆกันไปหมด มีแปลกตาอยู่คนคือท่านผู้นี้ บุคคลิกลักษณะไม่กลืนกับหมู่คนโดยสาร
นั่นก็คงรวมเอาผมกับเฮียบัติไว้ด้วย
ท่าทางเขาระมัดระวังตัวแม้กระทั่งกับผม ดูไปแล้วเปรียบได้กับงูที่ขดตัวเงียบแต่แฝงด้วยพิษร้าย

เรือแวะจอดส่งคนขึ้นฝั่งอยู่2-3ครั้ง มีครั้งเดียวที่เรือจอดส่งคนพอดีกับที่ฝั่งตรงข้ามมีทหารลาวแดงจ้องเขม็ง
ท่านผู้นี้ลุกขึ้นฝั่งก่อนใคร แล้วยืนหันหลังให้ฝั่งลาวที่พวกทหารลาวแดงกำลังมองดู
พอคนที่ต้องการขึ้นฝั่งจริงๆขึ้นหมดแล้ว
เขาก็กลับลงมาอีกด้วยอาการเหมือนกำลังซ่อนหน้าไม่ให้ใครจำได้

เป็นข้อสังเกตุที่ผมเห็นได้ชัดในขณะนั้น

ในใจมีคำถามเกิดขึ้นว่าคนผู้นี้คือใคร

ต้องสมมุติชื่อกันล่ะครับ เอาเป็นว่า”หาญ”ก็แล้วกัน
ภายหลังจึงทราบว่าคนผู้นี้ชื่อหาญ ยศร้อยเอก เป็นหัวหน้ากองร้อยคอแดง กองร้อยเดียวที่ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมาไม่เคยถูกยุบ
กองร้อยอื่นๆตั้งแล้วก็ต้องยุบไปทั้งนั้น เพราะเพียงไม่นานก็เหลือไม่ถึงร้อย กลายเป็นกองสิบ เพราะว่าตายกันเป็นเบือ
เว้นแต่กองร้อยคอแดงไม่เคยตาย เป็นกองร้อยหนังเหนียว มีจีวรหลวงปู่พรหมาพันคอเป็นสัญลักษณ์
พวกเวียตกงกับลาวแดงในสมัยนั้นขยาดเลยเรียกกันว่าพวกคอแดง
ภายหลังกองร้อยนี้ถูกยุบโดยปริยาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เขาบอกกับผมว่า
“พวกข้อยรบไม่แพ้,แพ้การเมือง”

ต่อไปจะเล่าเรื่องของท่านผู้นี้

เขาชื่อหาญ

เขาคือศิษย์ฆราวาสสำคัญประจำตัวหลวงปู่พรหมา วางตัวเสงี่ยม ไม่เคยเขื่อง หาผู้รู้จักศักดิ์และฐานะเขาได้ยาก
เมื่ออยู่บนวัดทำตัวเป็นเด็กวัด คนแปลกหน้ามากราบหลวงปู่ประเมินว่าเขาแค่คนวัดจะเรียกใช้เขาก็ไม่เคยขัด
ดูแล้วเป็นเด็กวัดจริงๆ

อีกคนหนึ่งคือเจ้าเปิ้ล เป็นคนไทย อดีตทหารพราน คือคู่ปาท่องโก๋กับหาญ หัวหกก้นขวิดมาด้วยกัน

โหดทั้งคู่เมื่อถึงบทโหด

แต่กับผมแล้วเขาดูแลดีมาก เอื้อเฟื้อสอดส่องเอาใจใส่ไม่ให้ลำบาก ไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกิน คอยจัดหาให้เป็นพิเศษ
จะใช้วานให้ทำอะไรได้ทั้งสิ้น
รวมทั้งคอยระวังความปลอดภัยให้ผม
วันไหนว่างหรือเบื่อผมก็ออกเดินป่า คนหนึ่งในพวกเขาแอบติดตามโดยที่ผมไม่เคยรู้ ถึงตอนหลงทางกลับไม่ถูกเขาก็โผล่มาทันที
จึงทราบว่าผมไม่มีอะไรต้องวิตกเมื่ออยู่บนนั้น ที่ซึ่งมีเขา2คนอยู่ด้วย

ต้องเข้าใจนะครับว่ายุคสมัยที่ผมขึ้นวัดนั้น แทบไม่มีใครแปลกปลอมเข้ามาแถวนี้ ยังเป็นบ้านป่าเมืองดง ยังมีเรื่องปล้นฆ่าปรากฏอยู่เสมอ
ศพคนลอยน้ำมีให้เห็นบ่อยๆ เสียงปืนกลางดึกยังได้ยิน
การมีผมไปอยู่บนนั้นเท่ากับไปเพิ่มภาระให้พวกเขา
อย่าว่าแต่ผมเลยแม้กระทั่งวัดยังไม่ปลอดภัย
การปล้นวัดเคยเกิดขึ้นอย่างน้อยครั้งหนึ่ง โจรจากฝั่งโน้น รู้ข่าวว่ามีคนถวายปัจจัยเป็นหมื่นก็ข้ามโขงมา
หาญกับลูกน้องส่วนหนึ่งที่ยังเกาะกลุ่มตามกันมาอยู่ที่นี่ก็จับอาวุธขึ้นมาป้องกัน
อาวุธที่ซ่อนเอาไว้ตามซอกตามผาหรือแม้แต่ฝัง
ถึงเวลาก็เอาออกมาใช้ได้ทันที

โดยเฉพาะเวลามีผ้าป่า เวรยามกลางคืนมีตลอดทั้งภูเขา เหมือนว่าเราอยู่กลางสมรภูมิหรือว่าดงโจร

ตรงนี้เท่ากับเป็นเขตปกครองตนเองมอดินแดงของGeorge
ด้วยว่ายังไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารฝ่ายไทยอยู่ประจำ
เรียกว่าเป็นสถานที่และเป็นหมู่บ้านหลงสำรวจอีกด้วย
หมู่บ้านปลายทางเรือโดยสาร
ที่เสมือนประตูเปิดให้ก้าวผ่านขึ้นไปบนเขาที่ตั้งวัดนี่แหละครับ

บ้านดงนา
หมู่บ้านที่ไม่ปรากฏในแผนที่

ประชากรส่วนใหญ่ของบ้านดงนาเป็นชาวลาวอพยพข้ามมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆไม่กี่หลังคาเรือน
กระทั่งหลังสมเด็จพระเทพทรงสนพระทัยเสด็จมาทอดพระเนตร หมู่บ้านนี้จึงได้รับการเหลียวแลจากบ้านเมือง

ก่อนนั้นก็แค่บ้านป่าที่หาคนรู้จักยาก

ท้องไส้ไม่ค่อยดี
ขอไปปรับธาตุก่อน..เดี๋ยวมา

 

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน