ดาบสองคม

เรื่องสั้นรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง จากการประกวดเรื่องสั้นหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิไทม์

ตีพิมพ์ครั้งแรกวันอังคารที่๖ ธันวาคม ๒๕๒๐  ตีพิมพ์ครั้งที่สองหลังจากได้รับรางวัล วันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๐

 

ดาบสองคม
เขียนโดย ทวน ท่าลาด
วันพุธที่ 27 มีนาคม 2013 เวลา 11:17
เรื่องสั้นรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง จากการประกวดเรื่องสั้นหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิไทม์
ตีพิมพ์ครั้งแรกวันอังคารที่๖ ธันวาคม ๒๕๒๐ ตีพิมพ์ครั้งที่สองหลังจากได้รับรางวัล วันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๐

—————-

ยามโพล้เพล้

ตะวัน ต่ำเรี่ยดิน แสงอ่อนๆฉาบฟ้าสีเหลืองทอง

นกสไลตัวหนึ่งบินจากจอมปลวกโฉบขึ้นเกาะบนยอดกระบกสูงลิบ พลางเช็ดจะงอยปากกับคาคบไม้และไซ้ขนสีเขียวสดอย่างเป็นสุข มันมองลงมายังพื้นเบื้องล่างที่เตียนโล่ง แลเห็นชายวัยกร้านโลกผู้หนึ่งยืนท้าวแขนกับด้ามขวานขนาดใหญ่มองดูมันเช่นเดียวกัน

ระหว่างนั้นหูของมันได้สัมผัสกับเสียงหนึ่ง อู้-อู้ มาจากยอดเขาแล้วแตกซ่าลงมายังเบื้องล่าง ฟ้าที่ยังสว่างก็ดูคล้ายจะมืดลงเดี๋ยวนั้น

มันร้องแจ๊ว-แจ๊วอย่างตระหนกบินออกจากคาคบไม้หายลับไปจากสายตาในทันใด และดูเหมือนว่าชายผู้นั้นจะพอใจที่ได้ยินเสียงอึงอลนั้น

เมฆก้อนทะมึนลอยผ่านหัวไปด้วยความเร็ว ลมแรงจนเส้นผมหยาบกระด้างปลิวสะบัด เสียงไม้หักดังโผงผางสนั่น พื้นดินสะเทือนด้วยเสียงคำรามของก้อนเมฆ
แล้วมันก็สาดเทเม็ดน้ำลงมาอย่างหนัก

เป็นฝนแรกในอาทิตย์นี้ มันมาเร็วแรง และดูน่ากลัว เขาหลบขึ้นไปบนกระท่อมที่ปลูกสร้างอย่าง หยาบๆ พลางแหงนหน้ามองดูรอยโหว่ของหลังคาแฝก แล้วถอนใจยาว นัยน์ตาสีสนิมเหล็กส่อแววกังวล

ในม่านฝนเขามองเห็นร่างตะคุ่มของคนสองคน วิ่งฝ่าฝุ่นเถ้าที่กำลังคลุ้งเพราะเม็ดฝนตรงมายังกระท่อม และเมื่อใกล้เข้ามาเขาก็เห็นชัด การแต่งกายของทั้งสองคนคล้ายทหาร ตรงหน้าหมวกมีรูปดาวปักด้วยด้ายสีแดง สะพายปืนรูปร่างเหมือนกับที่เคยเห็นตำรวจตะเวนชายแดนถือ โดยรอบเอวมีระเบิดมือแขวนร้อยกับเข็มขัดหลายลูก ตับลูกปืนคาดข้ามไหล่ลงมาที่เอว สวม รองเท้ารัดส้นทำด้วยยางรถยนต์ ท่าทางทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว

“ขอหลบฝนหน่อย” หนึ่งใน สองคนตะโกนโหวกเหวก
“ขึ้นมาเลยอัญญา” เขาเชื้อเชิญพลางรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เขาจะรู้สึกอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อเข้าใกล้ทหารหรือตำรวจที่มีอาวุธสะพายเต็มหลัง
ผู้มาเยือนก้าวขึ้นมาบนกระท่อม ฟากปูพื้นอ่อนตัวยวบยาบ เขาส่งผ้าขาวม้าผืนเดียวที่มีอยู่ให้ ทั้งคู่รับไปเช็ดหยดน้ำที่ใบหน้าและลำแขนพลางเอ่ยถาม
“อยู่คนเดียวหรือ?”
“เออ ..เอ้ยครับ”
“มาถางป่าที่นี่นานหรือยัง”
“สามเดือนแล้วอัญญา”
ชายสูงวัยในเครื่องแบบสีเขียวพยักหน้าหงึกหงัก เบือนสายตาออกไปภายนอก สายฝนยังคงกระหน่ำพื้นดินรุนแรง อากาศในกระท่อมชื้นเย็นจนรู้สึกเยือกกาย
“อยู่ที่นี่สบายดีหรือ?” ชายสูงวัยถามเหมือนจะชวนคุย
“ไม่ค่อยสบาย……จับไข้มาหลายวันแล้ว” เขาพาซื่อ
“อ้อ..เราพอมียา แก้ไข้อยู่บ้าง” สายสูงวัยล้วงกระเป๋าเสื้อดึงถุงพลาสติกออกมา ในนั้นมียาอยู่หลายเม็ด พลางส่งให้เขาสามเม็ด เขายกมือขึ้นไหว้ด้วยความตื้นตัน
“พวกตำรวจเข้ามาในดงนี้บ้างหรือเปล่า”
“ไม่เคยเห็นตำรวจเข้ามาสักคนอัญญา”
ชายสูงวัยเงียบไปอึดใจแล้วถามต่อ “เคยถูกพวกนั้นข่มเหงเอาบ้างไหม?”
“ไม่เคย” เขาตอบด้วยความแน่ใจพลางนึกฉงน
“แล้วไม่เคยเห็นมันข่มเหงคนอื่นบ้างหรือไง?”
“เคยเห็นแต่จับคนบ้าคนเมา”
“นั่นแหละ-นั่นแหละ” ชายสูงวัยกล่าวต่อไป “รู้ไหมว่าเราเป็น ใคร”

เขาส่ายหน้า

“เราถูกเรียกโดยบุคคลหลายฝ่าย หลายพวก หลายอาชีพ ชื่อของเราจึงมีหลายชื่อ แต่ไม่ว่าจะเป็นชื่อใด ก็ล้วนแต่หมายถึงเราทั้งสิ้น เป็นต้นว่า ทหารป่า, พวกป่า, คนป่า หรือทางฝ่ายรัฐบาลมีปฏิกิริยาเรียกเราว่า ผ.ก.ค. ผู้ก่อการร้าย เราเองก็อยากจะถามสหายว่าเราร้าย กับใคร?…. เราร้ายกับใครกัน” ชายสูงวัยเน้นถ้อยความด้วยเสียงอันเย้ยหยัน “แต่ชื่อที่แท้จริงของเราคือ กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย มีอักษรย่อว่า ท.ป.ท. ทีนี้ก็คงรู้แล้วใช่ไหมว่าเราคือใคร”

เขาพยักหน้า

ฝนข้างนอกซาเม็ดและค่อยๆขาดเม็ดไปในที่สุด ทิ้งความชุ่มฉ่ำไว้กับพื้นดินสีดำอันเกิดจากการเผาไม้ใหญ่น้อย จนเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน ความสดชื่นมีอยู่ทั่วไปในพื้นที่เตียนและโล่ง ชายสองคนขยับกายลุกขึ้น

“ขอบใจ……..เราจะไปกันละ แล้วจะ แวะมาอีก”
“บ่กินข้าวกินน้ำก่อนหรือ” เขาชวน
“เราไม่รบกวนสหายหรอก…ขอบใจอีกที”

ชายสองคนลงจากกระท่อม เดินหายลับไปในทิศ ทางเดียวกับที่เข้ามาเมื่อตอนฝนเริ่มริน

เขาแบมือออก ยาแก้ไข้ทั้งสามเม็ดยังอยู่กลางอุ้งมือ พลางนึกในใจว่าผู้ก่อการร้ายมีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้เอง เป็นเช่นคนธรรมดาอย่างเขาหรือใครๆ ต่างแต่ว่ามีเป้าหมายหรืออุดมการณ์ที่ไม่เหมือนกัน สำหรับเขาก็มีเพียงเป้าหมายในการทำไร่ และนึกคิดอยู่เพียงว่าดินกำลังร่วนซุยชุ่มน้ำ พรุ่งนี้เป็นเหมาะแน่ถ้าจะลงพันธุ์ข้าวโพด เหมาะมากทีเดียว เพราะมันง่ายแก่การขุดหลุมหยอดเมล็ดพันธุ์ พลางนึกขอบใจธรรมชาติที่สร้างฝน และเทสายน้ำลงมาพรมพื้นไร่อย่างท่วมท้น

คืนนั้นเขานอนกระวนกระวาย จิตประหวัดถึงครอบครัวที่ยังอยู่บ้านผือ มองเห็นภาพเมียและลูกจับเจ่าอยู่กับบ้านซอมซ่อ เผชิญกับความอดอยากแต่ลำพังสองแม่ลูก วันที่เขาตกลงใจเก็บของใช้ส่วนตัวลงย่าม เขาปลอบประโลมเมียคู่ทุกข์อยู่เป็นนานอธิบายถึงสิ่งไม่แน่นนอนซึ่งอยู่ข้างหน้า ไม่อยากให้หล่อนไปทนทุกข์ยากอยู่กลางป่า เผชิญไข้สารพันที่พร้อมจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ไม่ว่าจะ เป็นเขา, เมียหรือแม้แต่ลูกน้อย เขาให้สัญญาว่าเมื่ออยู่ดีแล้วจะกลับมารับ
สามเดือนเต็มๆป่าทึบต้องมีอันเตียนโล่งเพราะแรงโค่นฟัน มันเป็นเครื่องหมายบอกว่าอีกไม่ช้า เขาจะมีเงินก้อนโตจากการลงแรงปลูกข้าวโพด เงินนั้นจะบันดาลให้ชีวิตครอบครัวเขาดีขึ้น มันหมายถึงการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา อบอุ่นและเป็นสุข

เขา ฝันเห็นอนาคตที่มั่นคงสดสวย แล้วยิ้มคนเดียวในความมืด

รุ่งเช้า

เสียงไก่ป่าขันกระชั้นถี่ เขาลืมตาลุกขึ้นพร้อมกับลำแสงแรกของตะวันเหมือนวันก่อนๆ อาจเป็นความเคยชินแล้วก็ได้ หุงข้าวปลาทิ้งไว้ แล้วแบกถุงบรรจุเมล็ดข้าวโพดออกสู่ไร่กว้าง อย่างน้อยวันนี้ควรปลูกได้สักสองไร่ เขาคำนวณคร่าวๆ ถ้าแดดไม่ร้อนมาก ก็อาจได้สองไร่เศษๆ

ตะวันเฉียงขึ้นเหนือยอดไม้ เขายังคงง่วนอยู่กับงาน เหงื่อไคลที่คนเมืองรังเกียจว่ากลิ่นเหมือนสาบสัตว์ไหลย้อยโทรมกาย สักครู่เขาเงยหน้าขึ้น มองเห็นชายสองคนที่หลบฝนอยู่กับเขาเมื่อวานกำลังเดินเข้ามาหา

“เป็นไงไข้สร่างหรือยัง?” ชายสูงวัยเอ่ยถามด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
“ยังไม่รู้เลยอัญญา พึ่ง กินเมื่อเช้านี้เอง” เขาตอบ
“กินไปเรื่อยๆนะ ถ้ายัง ไม่หายเราจะเอามาให้กินอีก” ชายสูงวัยแสดงความอารี “เดี๋ยวจะแวะไปทางใต้ห้วย ไปเยี่ยมกลุ่มคนทางนู้นหน่อย ลาล่ะสหาย” ชายสูงวัยโบกมืออำลา

เขาก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ไม่นำพาต่อแสงแดดที่เผาแผ่นหลัง และไอดินที่ลอยกรุ่นขึ้นปะทะหน้าตา เขาขุด-หยอด-กลบ, ซ้ำซากอยู่อย่างนี้จนมืดค่ำ

วันแล้ววันเล่า

เนื้อที่ปลูกของเขากว้างออกไปทุกวัน พร้อมกับความสัมพันธ์ ระหว่างเขากับชายสูงวัย ซึ่งเรียกตัวเองว่าทหารของประชาชนแน่นแฟ้นขึ้น การไปมาหาสู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นความชินชาคุ้นหน้า เขาชอบฟังชายสูงวัยพูดคุยและวิจารณ์ โจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วเกิดความรู้สึกเลื่อมใสเห็นจริงเห็นจังด้วย หลายครั้งที่เขาหอบหิ้วพืชผักไปฝากถึงในค่าย และขลุกอยู่กับคนในค่ายจำนวนสิบเจ็ดคน ราวกับว่าเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่ง เขาพอใจและศรัทธาในอุดมการณ์ของกองทัพปลดแอกประชาชนอย่างยิ่ง แม้เขาจะไม่เข้าใจอะไรมากนัก ก็ตาม

“เมืองไทยของเรา……ต้องเปลี่ยนแปลงระบบ มันต้องมีการปฏิรูปสังคมใหม่หมด ล้มล้างความไม่เสมอภาคแบ่งชนแบ่งชั้น ขับไล่จักรวรรดินิยมไปให้พ้นจากแผ่นดินของเรา”
เขารู้สึกจับใจ แต่ไม่เข้าใจศัพท์ใหม่เหล่านี้
“สหายลงแรงปลูกข้าวโพด สหายย่อมรู้ว่ามันเหนื่อยยากแค่ไหน คอยดูเมื่อมันออกฝักออกผล สหายจะรู้รสของความเจ็บช้ำจากพวกนายทุน การกดราคาซื้อที่ไม่เป็นธรรม ไม่คุ้มกับความเหนื่อยยาก ทั้งที่มันควรจะได้มากกว่านั้น มันเป็นระบบนายทุนที่เราจะต้องทำลาย……”

เขาเห็นจริงด้วย และนึกถึงการขายข้าวเปลือกให้เถ้าแก่เฮง คราวอยู่บ้านผือ มันไม่ ยุติธรรมจริงๆ

“เคยขึ้นอำเภอมั้ย? ..นี่ยิ่งร้ายใหญ่ ต้องขุดรากถอนโคนกันทีเดียว ระบบราชการเฮงซวยจึงจะดีขึ้น”

เขามองเห็นภาพตัวเขาเองวันที่ถูกปรับเพราะบัตรประชาชนขาดอายุ เขารู้สึกว่าแต่ละเรื่องที่ชายสูงอายุหยิบเอามาพูด ล้วนน่าฟัง น่าเชื่อถือและเป็นความ จริง บางอย่างเขาเข้าใจ บางอย่างคลุมเครือ แต่เขาคิดว่าสักวันมันคงกระจ่างเอง

บ่ายวันหนึ่ง

แดดเผาเปรี้ยง ประหนึ่งจะเผาโลกให้เป็นจุล เขาหลบพักในร่มไม้หยิบกระบอกน้ำขึ้นมาดื่ม วักขึ้นลูบหน้าลูบตัว และบ่ายวันนี้เองเขาได้พบตำรวจตระเวนชายแดนกลุ่มหนึ่งผ่านมาทางกระท่อมของเขา หยุดแวะพักเหนื่อยภายใต้ร่มไม้เดียวกัน แต่ละคนท่าทางเหนื่อยอ่อนอิดโรย เพราะผ่านการเดินมาอย่างโชกโชน หลังจากดื่มน้ำและนั่งลงเรียบร้อย คนหนึ่งพูดกับคนในกลุ่ม “หมวดครับผมว่าลอง ถามเขาดูบางทีอาจได้ข่าวคราว”
ชายหนุ่มใบหน้าเข้มและเกรียมแดดซึ่งถูกเรียกว่าหมวด หันหน้ามาหาเขาพลางถอดหมวกออก ผมของเขาชุ่มด้วย เหงื่อไหล่ลู่ลงเล็กน้อยแต่แววตาทระนงเหลือเกิน

“พี่ชายอยู่ที่นี่นานหรือยังครับ?” เสียงเขาห้าวสมตัว
“สามเดือนกว่า อัญญา”
“เคยพบเห็นพวกผู้ก่อการร้ายบ้างมั้ย?”

เขาอ้ำอึ้งตัดสินใจไม่ถูกว่าจะตอบอย่างไรดี ระหว่าง คำว่าเคยกับไม่เคย เขารู้สึกถึงความยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้นบ้างแล้ว และดูเหมือนว่าหมวดหนุ่มจะเข้าใจ

“พี่ชายคงลำบากใจ” เสียงห้าวๆทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง
“ผมสรุปได้เลยว่าพี่ชายเคยพบกับพวกนั้น แต่ผมไม่รู้ว่าจิตใจหรือความคิดอ่านของพี่ชายจะเอนไปข้างโน้นมากน้อยแค่ไหน” หมวดหนุ่มของหน้าเขาคล้ายจะหยั่งเชิง
“แต่อย่างไรก็ตาม…..ผมอยากจะให้พี่ชายเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของพวกนั้นว่ากำลังทำเพื่ออะไร พวกนั้นกำลังจะล้มล้างการปกครองของประเทศไทย หันเหทิศ ทางเข้าสู่ลัทธิใหม่ เขาอาจบอกว่ากำลังสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับชาติ หรือแจกแจงให้เห็นจุดที่ทำให้กระด้างกระเดื่อง และเกลียดชังเจ้าหน้าที่ ผมไม่ขอพูดมาก แต่อยากฝากข้อคิดสักนิด รู้ไหมคนพวกนั้นไม่ได้ทำ กันโดยลำพัง แต่อยู่ภายใต้การบงการและสนับสนุนของต่างชาติ ลองคิดดูซี! เขาทำเพื่ออะไร?”

เขาคิดว่าความยุ่งยากที่น่ากลัว กำลังก่อตัวขึ้นมาแล้ว สมองของเขาคิดอะไรไม่ออก มันจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ถ้าเขาใช้มันมากๆ จะเกิดอาการมึนและงง

“ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ส่งข่าวคราวพวกนั้นให้เจ้าหน้าที่ทราบ หรือจะไปพบกับผมโดยตรงก็ได้ ค่ายตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ห่างจากที่นี่แค่สามกิโลเท่านั้น ผมรับรองว่าพี่ชายจะไม่เป็นอันตราย ผมจะให้ความคุ่มครองเต็มที่”

หมวดหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมๆกับตำรวจทั้งหมดเก็บกระติกน้ำเข้าซองข้างเอว

“วันหลังผมจะแวะเข้ามาอีก อย่ากลัวพวกนั้น มีอะไรบอกผม”

ทันที่ที่ตำรวจตระเวนชายแดนจากไป ชายสูงวัยพร้อมด้วยคนอีกสามคนกับอาวุธครบมือก็บุกเข้ามาหา

“พวกนั้นมาทำไม?” ชายสูงวัยถาม
“เขาผ่านมาก็เลยแวะมาพักเหนื่อยกับกินน้ำกินท่า กัน”
“บอกอะไรที่เกี่ยวกับเรา แก่เขาบ้างไหม?”
“ไม่ได้บอกเลย อัญญา”

ชายสูงวัยมองเขาด้วยแววตาแข็งกร้าว เหมือน จะเค้นเอาบางสิ่งจากเขา ตั้งแต่รู้จักกันมาพึ่งมีวันนี้แหละที่ทำเขารู้สึกหวาดกลัวชายสูงวัยผู้นี้ ในอกหนาวเหน็บทั้งที่ภายนอกร่มไม้นั้นแดดจ้านัก
ชายสูงวัยไม่พูดอะไรอีก เดินนำหน้าคนสามคนจากไปอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกในนาทีนั้นว่าบรรยากาศ ภายนอกมันเครียด แต่ไม่อาจคาดเดาถึงภายหน้าว่าจะเกิด อะไรขึ้นทุกสิ่งดูมืดมนไม่สามารถมองเห็นทุกสิ่ง

ลมร้อนพัดมาวูบหนึ่ง เขามองเห็นพื้นที่เตียนโล่ง แล้วนึกถึงวันเวลาที่ผ่านไป วันเวลาที่เขาทุ่มเทให้กับมัน เขาถามตัวเองว่า เขาทำเพื่ออะไร คำตอบของมันชัดเจนอยู่แล้วว่าเพื่อครอบครัว ภาพใบหน้าของเมีย และลูกสาวลอยวนอยู่กลางแดดเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน เขาหลับตาลง พลางทอดถอนใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย

คืนนั้น

ขณะที่ความคิดกำลังสับสน เขาได้ยินเสียงปืนรัวถี่ยิบราวกับประทัดแตกแว่วมากับความมืด ดังอยู่นานราวๆครึ่ง ชั่วโมงก็เงียบเสียง เขารู้สึกงุนงงไม่เข้าใจถึงต้นเหตุแห่งเสียงปืน เขาไม่รู้เลยจริงๆ และเริ่มรู้สึกว่าที่นี่มันชักจะมีอะไรๆบางอย่างเกิดขึ้น อะไรบางอย่างนั้นคือความน่ากลัวน่าหวาดหวั่น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเผชิญกับมัน

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ประสาทเขาแข็งนอนไม่หลับ เขาลุกขึ้นนั่งชันเข่า ทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังเบื้องนอก อากาศเย็นจนรู้สึกตะครั่นตะครอเนื้อตัว สักครู่หูของเขาก็สัมผัสกับเสียงย่ำเท้าเบาๆ ทีแรกนึกว่าหูฝาดแต่เมื่อฟังดีๆแล้วเขาก็บอกกับตัวเองว่าใช่แน่ ค่อยๆชะเง้อดูยังต้นเสียง

เปรี้ยง…….เปรี้ยง

เขาล้มคว่ำทั้งๆที่ยังนั่งชันเข่าอยู่ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั้งตัว รู้สึกแน่นหน้าอก ลมหายใจติดขัดเข้าทุกที ก่อนลมหายใจจะขาดสะบั้น เขาได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นใกล้ๆตัว

“ไอ้นี่แน่ๆ ที่เป็นสาย”

แล้วเขาก็สิ้นใจตาย.

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน