พระเทพสุทธาจารย์ (หลวงปู่โชติ คุณสมฺปนฺโน)

ผมได้ยินและได้ฟังอุโฆษแห่งชื่อเสียงหลวงปู่โชติ คุณสมฺปนฺโน แห่งวัดวชิราลงกรณวราราม และวัดถ้ำไตรรัตน์มานานแล้ว เป็นแต่ว่าไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสบุญบารมีของท่านด้วยตนเองมาก่อน เนื่องจากว่าในเวลารุ่งโรจน์แห่งชีวิตของท่านนั้นผมยังนึกไม่ออกว่าผมมัวไปอยู่ไปทำอะไรอยู่ข้างไหน

เช่นเดียวกับหลวงปู่แหวน, หลวงปู่ฝั้น, หลวงปู่ขาว, หลวงปู่ตื้อ, หลวงปู่ดูลย์, ครูบาพรหมจักร, พระอาจารย์วัน, พระอาจารย์จวน และอีกหลายๆองค์ ผมก็ไม่ได้สัมผัสกราบไหว้  คงเพียงสดับกิตติศัพท์แห่งคุณงามความดีของพวกท่านอยู่อีกฟากโลกเท่านั้น

จะบอกว่าบุญน้อยก็เบาบางไป ไม่ตรงนัก ต้องใช้คำว่าผมยังโง่อยู่จึงใกล้เคียงความจริง

เพราะฉะนั้นเรื่องราวของหลวงปู่โชติที่ผมจะได้นำมาขยายต่อไปนี้ จึงเกิดขึ้นจากกการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหลายแห่ง จะรับรองแข็งขันว่าทุกเรื่องตรงความจริงที่สุดก็ไม่ถนัดนัก อาจมีคลาดเคลื่อนอยู่บ้างเป็นธรรมดา ด้วยเหตุว่าทุกเรื่องล้วนแต่เกิดขึ้นจากการบันทึกตามปากผู้เล่า แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามย่อมต้องมีมูลเค้าอันแน่แท้สอดแทรกอยู่เหมือนกัน ผู้อ่านเมื่ออ่านแล้วขอให้พิจารณากันไป จะปักใจเชื่อได้แค่ไหนก็สุดแท้แต่ความเหมาะควร

ผมได้รู้สึกว่าใกล้ชิดเรื่องราวของหลวงปู่โชติเข้าบ้างก็ตอนที่ได้กราบหลวงตาจิรศักดิ์ ฐิตธมฺโม ที่วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ เมื่อปีกลาย หลวงตาจิรศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่โชติมาหลายปีและได้เมตตากรุณาแก่ผมตามสมควร ได้เล่าเรื่องหลวงปู่โชติให้ฟังนิดหน่อย และได้เมตตาส่งข่าวคราวของท่านเองให้ผมอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง แม้คราวที่ท่านออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือโดยเดินทะลุเข้าเมืองแม่ฮ่องสอน ท่านก็ส่งข่าวของท่านให้ผมทราบทางจดหมายโดยตลอด ผมยังสำนึกในเมตตากรุณาของท่านอยู่เสมอไม่ลืม

นึกไว้ในใจทุกขณะที่ระลึกได้ว่าจะได้กราบท่านอีกครั้งหนึ่งที่ไหนสักแห่ง และในอนาคตข้างหน้า ท่านก็จะได้เป็นที่พึ่งแก่ผมยามแก่เฒ่าอีกองค์หนึ่ง

ถ้าหลวงตาได้อ่านได้ทราบนัยแห่งหัวใจผมแล้ว ผมหวังในเมตตากรุณาของหลวงตาจงมีแก่ผมตลอดไปเหมือนเดิม

หลวงตาจิรศักดิ์ได้กรุณาล่าเรื่องหลวงปู่โชติในส่วนที่เป็นการระลึกชาติของหลวงปู่โชติ และได้มอบหนังสือที่หลวงปู่โชติเขียนถึงการระลึกชาติแก่ผมฉบับหนึ่ง ซึ่งผมได้นำลงตีพิมพ์ไปแล้วในภาคประวัติของหลวงปู่ดลย์ อตุโล โดยจบสิ้นสมบูรณ์ ผู้อ่านสามารถย้อนไปค้นอ่านได้

เรื่องการระลึกชาติของหลวงปู่โชตินั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเด่นที่สุดในชีวิตของท่าน ซึ่งท่านได้เขียนเองเล่าเองทั้งหมดด้วยเต็มปากและใจ ผมเคยเอาพระเครื่ององค์หนึ่งให้เพื่อนดู เขาถามว่าพระของใคร เมื่อบอกว่าของหลวงปู่โชติ ปากช่อง เขาก็ร้องอ๋อ…องค์ที่ระลึกชาติได้ นั่นย่อมโชว์ให้เห็นว่าเรื่องระลึกชาติของท่านเป็นที่รู้จักแพร่หลายจริง ๆ

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งรู้จักกันแพร่หลายไม่แพ้การระลึกชาติ คือเรื่องห้ามพายุให้สงบลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่ทราบแน่ชัด แต่เล่ากันว่าขณะที่ท่านกำลังอบรมสั่งสอนภิกษุสามเณรในวัดหนึ่ง โดยอบรมอยู่บนศาลาใหญ่ ขณะนั้นเกิดลมพายุพัดตรงมา หักโค่นทำลายต้นไม้และสิ่งปลูกสร้างล้มระเนระนาดเป็นทางมา  ท่านก็หยุดการอบรมพระเณรไว้อึดใจหนึ่ง ชี้นิ้วสวนทางไปยังพายุลูกนั้น ปรากฏว่าลมจัดจ้านหยุดนิ่งลงทันที

การห้ามพายุให้หยุดนี้เท่าที่ทราบปรากฏว่ามีเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งที่สองเกิดขึ้นตอนที่ท่านเริ่มลงมือสร้างศาลาวัดวชิราลงกรณวรารามใหม่ ๆ มีลมพายุรุนแรง เช่นเดียวกัน ท่านก็ได้ชี้นิ้วไปที่พายุลูกนั้นเหมือนเคย ผลปรากฏว่าพายุสงบนิ่งลงทันที สงบอยู่นานนับ 10 นาทีเห็นจะได้ แต่อย่างไรไม่ทราบท่านก็หยุดชี้นิ้วลง ทำให้พายุก่อตัวขึ้นอีก และสามารถพัดทำลายศาลาโรงครัวที่เพิ่งสร้างเสร็จไหม่ๆพินาศไป

เรื่องห้ามพายุนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนทั้งหลายรู้จักกันดี

ปาฏิหาริย์อย่างนี้หากได้เห็นกับตนเองสักครั้งคงเป็นวาสนาไม่น้อย แม้ว่าวาสนาของผมจะมีไม่ถึงพระเณรหรือบุคคลอื่นใดที่อยู่ในเหตุการณ์ห้ามพายุของหลวง
ปู่โชติก็ตาม แต่ว่าผมก็เห็นคล้ายๆ กับเรื่องนี้ครั้งหนึ่งตอนนั้นไปกราบสนทนากับ ดร.ปรีชา พิณทอง บนยอดตึกของบ้านท่าน ได้เกิดพายุรุนแรงพัดเอาทุกอย่างปลิวกระเจิง พายุนั้นไม่ถึงกับทำลายอาคารบ้านเรือนหรือต้นไม้ แต่สามารถหอบเอาเสื่อน้ำมันปูพื้นทั้งผืนม้วนลอยขึ้น ผมเห็นคุณพ่อปรีชาทำปากขมุบขมิบ หน้าตาเคร่งเครียด แล้วโบกมือทำนองไล่ลมพายุ 3 ครั้ง พายุก็สงบ

ผมรับว่าแปลกใจ ไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร

คุณพ่อปรีชาอธิบายทีหลังว่า เรื่องเวทมนตร์กลคาถาเป็นของมีจริง ถ้าผมสนใจทางนี้ หรือขัดข้องครูบาอาจารย์เมื่อไหร่ให้ไปหาท่านก็จะได้รับความเมตตากรุณาสอนให้

คุณพ่อปรีชา ได้รับเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ในอดีตเคยเป็นภิกษุ เป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่งในเมืองอุบลฯ ปัจจุบันดำรงเพศคฤหัสถ์ ประกอบอาชีพทางด้านเขียนและค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสมบัติบรรพบุรุษอีสาน ภรรยาของท่านเคยบอกว่า ท่านมีความเป็นอยู่ทุกวันนี้เหมือนเก่า คือเหมือนสมัยเป็นพระไม่ได้ดูเหมือนฆราวาสแต่อย่างใด

ผมไม่ทราบว่าการห้ามพายุของหลวงปู่โชติจะเป็นด้วยเวทมนตร์หรือพลังจิต เพราะว่าเหลือวิสัยจะวิจารณ์ได้ แต่สิ่งเดียวที่ทำได้คือเชื่อในปาฏิหาริย์นี้อย่างไม่มีข้อสงสัย

หลวงปู่โชติมีนามเดิมว่าโชติ เมืองไทย เกิดปีวอก พ.ศ. 2451 ที่ตำบลนาบัว (บ้านกระทม) อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล และเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากัมมัฏฐานคือพระอาจารย์เสาร์ กันตลีโล ท่านเป็นพระที่มีอภินิหารมาก เรื่องทางนี้ของท่านจึงมีอยู่มากมาย แต่จะยกมาเล่าเป็นบางเรื่องพอเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ศรัทธา

มีผู้เล่าว่าครั้งหนึ่งหลวงปู่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำธุระบางอย่างที่วัดบวรนิเวศวิหาร ท่านกับเจ้าคุณโอภาสธรรมญาณ จะขึ้นรถเมล์ไปบางเขน โดยรอรถเมล์อยู่แถวๆสะพานควาย ขณะนั้นมีรถเมล์ที่สามารถจะไปยังจุดหมายที่ท่านต้องการได้มาจอดลง รถว่าง แต่ท่านไม่ขึ้น ท่านบอกกับเจ้าคุณโอภาสฯว่า คอยคันอื่นเถอะ ครั้นรถเมล์คันอื่นมาถึงท่านก็ขึ้น

ต่อมารถเมล์คันที่ท่านขึ้นก็แล่นผ่านรถเมล์คันแรกที่ท่านไม่ยอมขึ้นซึ่งก็ได้เกิดอุบัติเหตุชนเสาไฟฟ้างอก่องอขิงอยู่บนฟุตบาธข้างทาง

หลวงปู่มองดูรถเมล์คันที่เกิดอุบัติเหตุแล้วก็เฉยๆไม่ว่าอะไร

ทหารผ่านศีกเชียงตุงชื่อ “พาง” บ้านอยู่ถนนเทศบาล 2 เมืองสุรินทร์ เป็นผู้หนึ่งที่ประสบเหตุพิลึก ท่านเล่าว่าครั้งหนึ่งหลวงปู่มีธุระออกจากวัดไป แต่แล้วกลับนึกได้ว่าลืมอะไรอย่างหนึ่ง ท่านจึงเรียกสุนัขข้างทางซึ่งจรจัดอยู่แถวนั้นมาตัวหนึ่งเขียนหนังสือแจ้งข้อความแห่งธุระที่ลืมผูกติดกับคอสุนัขแล้วเอามือตบหลังสุนัขบอกให้นำหนังสือนี้ไปให้พระที่วัดของท่าน

พระที่วัดก็ทราบความในหนังสือนั้นหลังจากสุนัขแจ้นเข้าไปถึง

อีกเรื่องหนึ่งซึ่งแปลกมาก คือครั้งหนึ่งหลวงปู่ซึ่งเวลานั้นยังพำนักอยู่เมืองสุรินทร์ ได้บอกว่ามีธุระไปโคราช แต่ขณะที่ทุกคนได้ยินเสียงรถไฟขบวนที่ท่านจะต้องอาศัยเดินทางเข้าโคราชเปิดหวูดอยู่ที่สถานี หลวงปู่ก็ยังนั่งรับแขกเป็นปกติ ครั้นเมื่อทุกคนกราบลาท่านออกมาแล้วก็สวนทางกับลูกศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งแจ้งข่าวว่าเพิ่งไปส่งท่านขึ้นรถไฟไปโคราช

คำนวณเวลาแล้วเป็นไปไม่ได้เลย ที่ใครจะสามารถนั่งอยู่ที่แห่งหนึ่ง ในขณะที่รถไฟเข้าเทียบสถานี แล้วสามารถไปขึ้นรถไฟทัน

เรื่องที่เกี่ยวกับรถไฟผมเคยเล่าไปบ้างแล้วในภาคประวัติของหลวงปู่ดุลย์ ซึ่งจะพอทบทวนย่อ ๆๆ ได้อีกว่าระหว่างที่ลูกศิษย์ไปรับท่านที่ถ้ำใครไตรรัตน์เพื่อไปส่งท่านขึ้นรถไฟไปสุรินทร์นั้น ไม่มีทางเลยที่จะขึ้นรถไฟที่ปากช่องทัน แต่หลวงปู่ก็ยืนยันให้ไปส่งท่านที่สถานีปากช่อง และปรากฏว่าไปทันจริง ๆ เพราะรถไฟเสียเวลา ทำให้ท่านกลับสุรินทร์ได้พอดี

แม้ว่าหลวงปู่โชติจะไม่ใช่พระให้หวย แต่เรื่องให้หวยของท่านก็เป็นที่ฮือฮา ขณะหนึ่งท่านกำลังกวาดลานวัดท่านพูดลอย ๆ ว่า หวยงวดนี้จะออก 33 พระเณรที่อยู่ใกล้ ๆ ท่านต่างได้ยินถนัด และได้บอกเลข 33 ให้กับชาวบ้านญาติโยมทั้งหลายไปว่าหลวงปู่ให้เลขเด็ดตัวนี้

ปรากฏว่าหวยออก 33 จริง ๆ รวยกันไปทั้งหมู่บ้าน

มีคนมากมายพยายามจะไปกราบขอเลขเด็ดจากท่านอีก แต่ไม่สำเร็จ ท่านไม่ปริปากอีกเลย

หลวงปู่โชติได้ชื่อว่าเป็นพระที่เด่นเรื่องโชคลาภอีกองค์หนึ่ง ซึ่งคุณไพฑูรย์ เกื้อสกุล ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องไปส่งหลวงปู่ขึ้นรถไฟที่สถานีปากช่องได้บอกว่า พอกลับจากส่งท่านก็แวะซื้อล็อตเตอรี่ 9 ใบ ทั้งๆที่ไม่เคยซื้อมาก่อน และก็ถูกเลขท้ายทั้ง 9 ใบอย่างน่าอัศจรรย์

มีผู้เล่าเรื่องแขวนพระเครื่องของท่านแล้วเกิดโชคลาภอยู่เหมือนกัน เรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในหนังสืออาณาจักรพระเครื่อง ฉบบที่ 20 ปี 2517 ซึ่งคุณ “คนโรงเหล้า” ได้เขียนมาลงตีพิมพ์โดยเล่าว่าเขาได้เห็นรูปถ่ายหน้าตรงของหลวงปู่โชติซึ่งตีพิมพ์ในหนังสืออาณาจักรพระเครื่องฉบับเดือนมิถุนายน พิจารณาเห็นตัวเลขปรากฏอยู่ที่ไรผมเป็นเลข 63 ชี้ให้เพื่อนดูก็ดูกันไม่ออก คงมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เห็นว่าเป็นตัวเลขดังกล่าว ผลก็คือเขาถูกล็อตเตอรี่งวดนั้น (10 มิ.ย. 2517) พอได้เงินก็บึ่งรถไปยังวัดวชิราลงกรณ์วรารามวรวิหาร และได้บูชาเหรียญโสฬสระลึกชาติของหลวงปู่มาคนละหลายเหรียญ ในราคาเหรียญละ 29 บาท

1-wm-wm-wm 2-wm-wm-wm

เหรียญโสฬสระลึกชาติ : jongkron2518.99wat.com

เมื่อได้เหรียญมาแล้วได้นำเหรียญนั้นไปให้อาจารย์ทางพรหมศาสตร์ที่พวกเขาเคารพนับถือตรวจดู อาจารย์ท่านนั้นออกปากว่า

“ในบรรดาเหรียญใหม่ๆในยุคนี้ มีเหรียญหลวงพ่อโชติองค์เดียวเท่านั้นที่มีอิทธิฤทธิ์ในชั้นสมเด็จโต พระอาจารย์ที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์บังคับธาตุทั้ง 4 คือดิน น้ำ ลม ไฟ ได้นั้น เท่าที่ทราบก็มีหลวงพ่อทวด และหลวงพ่อโชติก็บังคับลมพายุให้หยุดนิ่งได้ และเขี่ยก้อนหินให้เบาเป็นสำลีได้ ส่วนที่ชี้ไฟซึ่งกำลังลุกไหม้ให้ดับได้นั้นยังไม่เคยเห็น พระอาจารย์ที่สามารถบังคับธาตุทั้ง 4 อย่างใดอย่างหนึ่งได้แล้ว การบังคับของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา”

คุณคนโรงเหล้าได้ชี้แจงมาอย่างนี้ และยังมีจดหมายอีกฉบับหนึ่งเขียนถึงบรรณาธิการหนังสืออาณาจักรพระเครื่อง ความว่า

15 มิ.ย. 17
656/15 ซ.วิมลสรกิจ ถ.จรัลสนิทวงศ์ ธนบุรี
เรียน บก.หนังสืออาณาจักร พระเครื่อง

ผมได้อ่านหนังสืออาณาจักรพระเครื่องฉบับที่ออกต้นเดือนมิถุนายนแล้ว ผมสนใจเรื่องของหลวงพ่อโชติเพราะทำให้ผมถูกล็อตเตอรี่ได้เงินมาหลายพันบาท (ถูกเลขท้ายสามตัว 4 ใบ ผมซื้อ 10 ใบ) จึงได้เล่าเรื่องตามความเป็นจริงมาเพื่อขอให้คุณช่วยพิจารณาลงในหนังสืออาณาจักรพระเครื่องด้วย
ลูกชายผมแขวนเหรียญที่มีชื่อว่า “ระลึกชาติ” สุนัขตัวใหญ่ได้เข้ามากัดน่อง กางเกงทะลุแต่ไม่เข้าผมแปลกใจจริง ๆ
ผมขอให้กิจการของท่านเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป
สวัสดี
สนธิ

เกี่ยวกับเรื่องเขี่ยก้อนหินแล้วเบาเหมือนสำลีนั้นได้เกิดขึ้นขณะที่ท่านกำลังทำความสะอาดถ้ำและรื้อก้อนหินแตกๆหักๆ ปรากฏว่ามีก้อนหินใหญ่กลิ้งตกลงมาทับท่าน พระลูกวัดได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวก็กรูกันเข้ามาดูและท่านได้บอกว่า ท่านเอาเท้าเขี่ยก้อนหินนิดเดียว ทำไมจึงเบาเหมือนสำลี กระเด็นไกลตั้งหกเจ็ดวา

ภายหลังเรื่องนี้จึงถูกเปิดเผยชัดเจนขึ้นดังนี้

หลวงปู่เล่าว่าท่านได้ขึ้นไปบนภูเขาหลังถ้ำ ขึ้นไปต่อยหินเพื่อทำทางขึ้นเขา บังเอิญหินก้อนใหญ่ตกกลิ้งลงมาทับท่าน และเวลานั้นสมเด็จโต วัดระฆัง มาช่วยท่านไว้ ท่านมีความรู้สึกว่าตนเองตายแล้ว แต่จับเนื้อหนังตนเองแล้วทราบว่ายังมีชีวิตอยู่ ท่านจึงนมัสการสมเด็จโต และสมเด็จโตได้ถามท่านว่าจะสร้างพระสมเด็จไหม หลวงปู่ตอบว่าไม่เคยทำ สมเด็จโตก็บอกว่าถ้ารับปากว่าจะทำก็จะนำมาให้ ซึ่งท่านก็รับปาก ท่านบอกว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ไม่มีความเจ็บปวดหรือบาดแผลใด ๆ เลย

ต่อมาก็มีชายไม่ทราบชื่อ เอาพระผงพิมพ์สมเด็จโตมาให้ ใส่ลังกระดาษมาถวายหลวงพ่อ บอกว่าได้มาจากกรุราชบุรี หลวงพ่อจึงรับไว้ทำพิธีอีกครั้งหนึ่งตลอด 3 พรรษา เมื่อครบแล้วจึงนำออกแจก ท่านตั้งชื่อว่า “สมเด็จมาเอง”

389728-1adce

ภาพสมเด็จมาเอง : web-pra.com

ทั้งสมเด็จมาเอง และเหรียญโสฬสระลึกชาติไม่มีรูปให้ดู เพราะหาตัวอย่างพระไม่ทัน ขออภัยด้วย คงมีแต่เพียงภาพพระนิรันตรายปี 2506 ให้ดูองค์เดียวเท่านั้น

1

พระพุทธนิรันตราย : burrapajarn.99wat.com

แต่ชื่อว่าพระเครื่องของหลวงปู่โชติแล้วรุ่นไหนก็ดีหมด ถ้าพบเห็นแล้วให้คว้าไว้เลย อย่าลังเลสงสัยให้เสียการ

พระเครื่องของหลวงปู่โชติมีอยู่หลายรุ่น หลายรูปแบบ แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้พบเห็นปรากฏอยู่ในสนามพระเครื่องเท่าไหร่นัก เห็นจะเป็นเพราะว่าผู้มีอยู่กับตัวนั้นรู้จักเป็นพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ที่ควรค่าแก่ความหวงแหน

อย่าไปคิดเรื่องมูลค่าของพระเครื่องหลวงปู่โชติให้ยุ่งหัวใจเลยครับ ถ้าทีทางพอเป็นไปได้ที่จะได้มาบูชาสักองค์หนึ่งก็ทำเถิด

———————————————

ข้อมูลเก่าจากนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ หลายปีแล้วค่ะ….

วงเดือน เย็นฉ่ำ – พิมพ์

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน