เมื่อผมมีเมียเป็นผี(บังบด) ตอน2

ความเฮี้ยนของกุฏิหลัง 5 ในระหว่างที่ผมพักอาศัยอยู่นั้น

เรียกว่าผ่อนคลายไปเยอะ
พระเณรหรือคนอื่นๆไม่ค่อยจะเกรงจะกลัวเท่าเก่า

ช่วงไหนที่ผมลงจากเขา ไม่อยู่บนนั้น กุฏิว่าง ก็ได้ยินว่ามีคนเข้ามาพักประปรายเหมือนกัน
โดยมากเป็นพวกที่เดินทางมาจากที่อื่น ไม่ใช่พวกที่อยู่ประจำ
เขาคงไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง ถ้ารู้ก็ไม่แน่เหมือนกัน อาจเปลี่ยนใจไปนอนที่อื่น

แม้รู้หรือไม่รู้ ข่าวผีหลอกก็ไม่ปรากฏ
ทั้งไม่ได้ยินว่ามีใครโดนผีหลอกที่กุฏินี้อีกต่อไป

เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นมาอย่างที่ใครๆก็นึกประหลาดใจไปตามๆกัน
บางคนเชื่อว่าผมมีคาถาดีสำหรับปราบผี
กระทั่งพระหรือเณรยังมาเลียบๆเคียงๆทำเหนียมๆจะขอคาถา

ผมมีที่ไหนเล่า
ถ้ามีก็จะมีแค่ลูกโทนคนเดียวเท่านั้น…ลูกบ้าดีเดือด

อย่างไรก็ตาม บังบดสองสาวพี่น้องก็หายไปจากความรู้สึกนึกคิดของผมโดยอัตโนมัติ จนแทบไม่ได้นึกถึงอีกเลย

จนกระทั่งกลางฤดูฝนของปี2535บังบดสาวสองพี่น้องก็หวนกลับมา
แล้วก็สร้างปรากฏการณ์ที่ผมไม่เคยลืมจนบัดนี้

ช่วงนั้นผมกลับลงมาอยู่บ้าน ห่างวัดหลวงปู่อยู่นานเดือน ฝนก็ตกได้ตกดีทั้งวันทั้งเดือนเหมือนกัน
หลวงปู่ส่งข่าวมาว่าอย่าขึ้นวัดช่วงนี้ น้ำโขงกำลังขึ้นและเชี่ยวจัด เรือเล็กๆงดเด็ดขาด เรือโดยสารเท่านั้นที่ยังพอเดินได้
แต่ก็อันตรายมาก ไม่น่าวางใจ
ทำให้ความคิดถึงวัดต้องเก็บมันยัดเข้าตู้เอาไว้ก่อน

ดูเหมือนว่าเวลานั้นจะเป็นช่วงเดียวกันกับห้วงเวลาระหว่างนี้ คือราวๆเดือนสิงหาคม
ปีนั้นฟ้าก็ฉ่ำ ดินก็แฉะ มองไปทางไหนเห็นแต่น้ำเต็มทุ่งเต็มท่า
ดีอกดีใจกับชาวนา เห็นข้าวกล้าเขียวขจีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
กบเขียดเต้นออกจากรูชวนกันกระโดดเข้าข้องให้เขาเอามาถลกหนังขายเต็มตลาด
ปลาช่อนนา ปลาดุกนา ออกมาเล่นน้ำใหม่ รนหาที่ตาย ก็ได้ตายเต็มแผงปลาในตลาดเหมือนกบ

ไปทางไหนกลิ่นกบย่างปลาปิ้งโชยใส่รูจมูก หอมยั่วน้ำลายชมัด
นี่แหละหนา เมื่อฝนมาอาชีพก็ตามมา เคยอดอยากปากแห้งมาตลอดแล้งก็หายอดหายอยากกันถ้วนหน้า
มีกบปลาผักแพวเข้าแถวมาสังเวยแบบนี้ทุกปี

เจ้าเปิ้ลรายงานข่าวใหม่ในเช้าวันหนึ่งว่า เขาพบเส้นทางที่สามารถจะใช้มอเตอร์ไชค์ไปจนถึงวัดได้
โดยเริ่มต้นเดินทางที่บ้านหุ่งหลวง ตัดป่าเข้าไปตามทางเดินเท้าของชาวบ้านป่าแถวนั้น
เขายืนยันมั่นใจว่ามีทางเข้าไปถึงวัดได้แน่ ทำให้ผมนึกอยากลองดู ถือเป็นการสำรวจเส้นทางใหม่ที่ไม่ต้องลงเรือเหมือนเคย

ไม่ต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวให้มันยุ่งยาก
สายวันนั้นก็ตัดสินใจคว้ามอเตอร์ไซค์ 80 ซีซี ควบออกไปทันที ผมขี่ เจ้าเปิ้ลซ้อนท้าย

เสื้อผ้าชุดเดียว พ่วงเอากางเกงชาวเลกับเสื้อยืดคอกลมสำหรับใส่นอน ห่อถุงพลาสติคกันฝนไปด้วยอีก1ชุด
เสบียงไม่มี ไปหาเอาข้างหน้า ระวังแต่เรื่องน้ำมันรถให้มีพอตลอดการเดินทางเท่านั้น อย่างอื่นไม่สำคัญ

สมัยนั้นถนนเลียบโขงสายโขงเจียม-เขมราฐที่จะผ่านบ้านหุ่งหลวงต้นทางยังเป็นดินลูกรัง
ทางราดยางมีแค่บ้านอะไรไม่ทราบ ลืมชื่อ อยู่ถัดจากบ้านนาโพธิกลางไปแค่บ้านเดียว จากนั้นเป็นทางลูกรังตลอดจนถึงเขมราฐ

ฝนก็พรำตลอดทาง เป็นรสที่บอกไม่ถูก ทั้งสนุก ทั้งทรมาน

ถึงบ้านหุ่งหลวงราวๆบ่าย3โมง พักกินข้าวครู่หนึ่ง เติมน้ำมันรถจากปั๊มพ์ลอย ตุนน้ำมันใส่แกลลอนพ่วงไปอีกหน่อยกันพลาด ก็ออกเดินทางต่อ

แค่ออกจากบ้านหุ่งหลวงมาได้ไม่นาน ความรู้สึกสำนึกเสียใจก็เกิดขึ้น ถามตนเองว่าคิดยังไงถึงได้อวดเก่งเลือกเดินทางแบบนี้
หนทางมันสุดๆจะวิบาก มันแค่เป็นรอยทางกลางป่าดงดิบ ให้เห็นแนวที่จะมุ่งหน้าไป มันหาใช่ทางสำหรับมอเตอร์ไซค์ไม่

ทั้งหิน ทั่งลื่น ทั้งชัน ทั้งเปียก ทั้งแฉะ เละเทะ ทั้งคนทั้งรถ

เจ้าเปิ้ลไม่สามารถจะนั่งซ้อนท้ายได้ ต้องลงวิ่ง คอยผลักคอยดันท้ายมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีกำลังพอจะเคลื่อนไปข้างหน้า

ถึงลำห้วยก็เจอน้ำป่า ต้องแบกมอเตอร์ไซค์ตะกายข้ามไปอย่างใจหายใจคว่ำ น้ำป่าไม่ใช่น้ำใสไหลเอื่อยเรื่อยริน มันเชี่ยวกรากขุ่นคลั่กจนบักโกรกกันทั้งคู่

ทางแบบนั้นมันต้องเจอเสือภูเขาจึงจะพอวัดฝีมือให้สูสีกันได้
แต่ ณ กาลเวลานั้น ผมยังไม่ได้สนใจเรื่องขี่เมาเท่น ไบค์
ถ้าย้อนเวลาหาอดีตได้ วันนี้จะต้องขอแก้มือกันสักตั้งในเส้นทางแบบเดิมๆนี่แหละ
ต่อให้เป็นฝนสามร้อยห่าจากป่าหิมพานต์ก็ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว

ทว่า..สำหรับวันนั้นด้วยมอเตอร์ไซค์ บอกได้คำเดียวครับ เข็ดขี้อ่อนขี้แก่

ครั้งเดียวก็เกินพอ

ระยะทางจากบ้านหุ่งหลวงไปจนถึงวัดหลวงปู่ ดูจากไมล์วัดระยะทางรถ 11 กม.กว่าๆ
เริ่มต้นเดินทางโดยไม่หยุดจากบ้านหุ่งหลวงบ่าย3โมง ถึงวัดกี่โมงลองทายสิครับ

ผิดครับ

ถึงวัด 1 ทุ่มครึ่งเป๊ะ

ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ชั่วโมงครึ่งครับ

พอเข้าเขตวัดพลันมืดสนิท อาภรณ์แห่งราตรีคลี่คลุมจนหมดสิ้น
มองฝ่าฝนเข้าไปกุฏิที่ไฟตะเกียงยังแจ้งอยู่หลังเดียว
เห็นหลวงปู่นั่งสูบยาอยู่ระเบียง ท่านมองมาทางไฟหน้ารถของเราทั้งคู่
คงสงสัยว่ามอเตอร์ไซค์นี่มันมาจากไหน มาได้ยังไง
มาทราบทีหลังว่าเราได้กลายเป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกที่เข้ามาถึงวัดหลวงปู่

พอหลวงปู่รู้ว่าใครมาท่านก็ออกอาการงงๆ แต่ก็ยิ้มแก้มแทบปริ ไล่ให้ผมกับเจ้าเปิ้ลไปหาข้าวกินก่อน ค่อยกลับมาคุยกัน

ผมเหนื่อยครับ กราบเรียนหลวงปู่ว่าไม่ไหวแล้วอยากจะนอนพัก อาการของร่างกายที่อ่อนล้ามันเสทือนไปถึงจิตใจอย่างรุนแรง
ต้องการพักผ่อนจริงๆ ไม่ต้องการอะไรอื่นใดอีกแล้วในเวลานั้น

เจ้าเปิ้ลบอกว่าจะเอาข้าวปลาอาหารไปส่งให้ที่กุฏิหลังที่5หลังเดิม
ให้ผมไปพักผ่อนรอที่นั่นก่อน
เมื่อตกลงกันตามนั้นแล้วก็กราบลาหลวงปู่

ฝนดูท่าจะตกไม่หยุดตลอดคืน
แม้ว่าภายในกุฏิ หลังคาหรือฝาไม่รั่ว แต่ก็ชื้นด้วยไอฝนทั้งห้อง
ทำเอาเหมือนมันจะให้ของฝากแก่ผมสักอย่าง คือฝากผีฝากไข้ให้ผมเป็นที่ระลึก

นึกถึงคำที่ใครไม่รู้พูดไว้ว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นของได้มาฟรี แต่การรักษาพยาบาลกลับแพงชมัด

บอกกับตนเองว่าของฟรีแบบนี้ไม่เอา อย่าเอามา ไม่อยากได้
ยังไม่เห็นแก่จะอยากได้ของฟรีหรอก ไม่งั้นพรุ่งนี้แย่แน่

เช็ดเนื้อเช็ดตัวจนแห้ง ผลัดผ้าเป็นชุดชาวเลกับเสื้อยืดคอกลมที่เตรียมมา ผึ่งผ้าที่เปียก แล้วปูเสื่อวางหมอนเตรียมไว้ก่อน

แล้วก็ออกมานั่งสูบยาที่ระเบียง ดูฝน แล้วก็รออาหารมื้อค่ำจากเจ้าเปิ้ล

คืนนั้นเดือนดาวกลางฟ้าสหาวหามีไม่ ลี้หายสลายสูญไปไหนหมด อนธกาลอันมืดมนเท่านั้นที่ครอบครองฟ้าซึ่งถูกปิดตายโดยเมฆฝน

เป็นคืนที่มีผลต่อจิตใจอันเข้มแข็งของผู้คน
มันโยกคลอนความองอาจให้ง่อนแง่นไปไม่รู้ตัว

หากมีใครกล่าวว่าภูมิประเทศแลอากาศไม่มีผลต่อจิตใจและอารมณ์มนุษย์
ผมจะขอให้เขาจงโปรดถอนคำพูดเสียบัดนี้

เจ้าเปิ้ลกางร่มหิ้วสำรับอาหารฝ่าฝนมืดเข้ามา
เงาตะคุ่มที่เดินดุ่มๆช้าๆนั้น มองไปแล้วช่างจะชวนให้นึกไปถึงผีกระด้งในตำนาน

ยังผีร่มกันฝนอีกตัวที่นึกออกมาตามลำดับ
ผีร่มกันฝนของญี่ปุ่น
พวกเขาเชื่อว่าร่มทุกคันมีวิญญาณสถิต

ร่มดำเป็นเงาที่เจ้าเปิ้ลกางแหวกม่านฝนเข้ามาที่นี่ ชวนให้นึกเตลิดไปไกลถึงเพียงนี้
ไกลไปถึงญี่ปุ่นด้วยจินตนาการปานนั้น

จิตใจมันอ่อนแออย่างบอกไม่ถูก

ท่าจะจริงดังเขาว่าจิตใจที่เข้มแข็งจะอยู่ในร่างกายที่แข็งแกร่งเท่านั้น

มันเป็นความจริงในห้วงเวลานั้นแน่นอน
ห้วงของกาลเวลาที่ยังอ่อนหัดต่อการฝึกจิตให้แกร่งได้เอง โดยไม่พึ่งกายอันกล้าแข็ง
คือยังแยกจิตของตนให้เป็นอิสระจากร่างกายไม่ได้
เมื่อกายอ่อนแอ ใจที่มันเป็นทาสของกายก็ปวกเปียกหมดแรงไปเช่นกัน

ผมไม่หิวเลยครับ
แต่แปลกที่พอเปิดสำรับเห็นข้าวสวยร้อนๆ วางด้วยชิ้นโตของปลาคังทอดกระเทียมกำลังเหลือง ความหิวก็ผุดขึ้นมา
เจ้าเปิ้ลนั่งรอจนผมกินอิ่ม จึงเก็บสำรับกลับไป
ทิ้งผมตามลำพังผู้เดียว

ฝนที่ตกบนเขากลางคืน มีทั้งลมกรรโชกมาเป็นระยะ เสียงลมเสียงฝนในคืนนั้นไม่ได้เหมือนเสียงดนตรีที่เคยกล่อมนอนอีกแล้ว
มันเหมือนเสียงเซ็งแซร่ของเหล่าบริวารปีศาจ
ทั้งโหยหวนเยียบเย็น แทงลึกเข้าไปถึงไหนๆของใจตน

ในห้องอันมิดชิด ยังจุดเทียนไว้ 1 เล่ม ทั้งแสงและเงาดำวูบวาบด้วยไฟเทียนขยับ ดูแปลกประหลาดที่สุด ราวกับว่าไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย

ในตอนนั้นควรจะเรียกว่าเหงาหรือไม่
ถ้าใช่
มันย่อมเป็นเหงาที่มีวังเวงหว้าเหว่ปนหวาดระแวงอยู่ด้วย

ผมดับเทียนด้วยปลายนิ้ว
ความมืดก็พุ่งวูบเข้ามา
มืดสนิทจนไม่เห็นกระทั่งมือของตนเอง

มีเพียงกลิ่นควันเทียนที่เพิ่งดับจางๆ แล้วก็กลิ่นหอมแปลกๆแทรกมาทีละน้อย กระทั่งกลบกลิ่นควันเทียนไปสิ้น

นึกไม่ออกว่าเป็นกลิ่นอะไร
ถ้าจะเปรียบให้คล้ายหรือใกล้เคียงก็คือกลิ่นดอกกะเลเต
ดอกกะเลเตนี้เรียกให้เป็นที่รู้จักอย่างไรไม่ทราบ
ลักษณะต้นและดอกคล้ายซ่อนกลิ่น
ความหอมต่างกัน

นึกแค่ว่าท่าเราจะเริ่มเป็นหวัดกระมัง จึงได้กลิ่นแปลกๆไป คนเป็นหวัดชอบได้กลิ่นพิลึก ไม่ว่ากลิ่นเหม็นหรือหอม

นอนลืมตาโพลงในความมืดอยู่นานแค่ไหนไม่ทราบ
คิดนั่นรำพึงนี่ไปเรื่อยเปื่อยจนม่อยหลับไปไม่รู้ตัว

หลับสนิทเหมือนคนตายยังไงยังงั้น
ไม่รู้สึกว่าตนมีฝันอีกด้วย

เวลาผ่านไปเนิ่นนานอย่างไรเหลือคะเน
รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามาถึงในห้อง
พอลืมตา
ทั้งห้องก็สว่างจ้าราวกลางวัน

ผู้ที่กำลังบุกรุกเข้ามานั้นคือพี่น้องสองสาวที่เงียบหายไปจากชีวิตผมแสนนานนั่นเอง

เหมือนทุกครั้ง
คนพี่ผมสั้นอย่างสาวทอมคอยอยู่ด้านหลัง
โดยนั่งขวางประตูห้องที่เปิดโร่ นั่งเอียงข้าง เบือนหน้ามองดูผมแบบไม่ถูกชะตาครู่หนึ่ง
แล้วก็เบือนหน้าหนีมองไปทางอื่นไม่ใยดี

คนน้องผมยาวคุกเข่านั่งอยู่ข้างๆผม
เอามือข้างหนึ่งลูบใบหน้าและศรีษะของผมอย่างแผ่วเบา

ผมอึ้งและอั้นอัดในอกเหมือนถูกผีอำ

จะนึกคิดพูดจาอะไรก็ไม่ออก ได้แต่มองดูและคอยทีว่าว่าหล่อนจะมาไม้ไหน มาทำอะไร

ความจริงในขณะนั้นผมยังหลับสนิท
ที่บอกว่าตื่นนั้นมันก็แค่เหมือนว่าตื่นจริงๆเท่านั้น
ตื่นอยู่ในความหลับ
แต่กลับแจ่มใสชัดเจน
ทั้งยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์อย่างน่าแปลก

สัมผัสอันแผ่วเบานุ่มนวลนั้น
แม้หล่อนไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ
สังหรณ์ที่เกิดด้วยสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ผู้ชายทุกคน
ย่อมรู้และเข้าใจการสื่อสารด้วยสัมผัสนั้นไม่ยาก

ผมสามารถโพล่งออกไปได้เป็นคำแรกว่าอย่าทำอย่างนั้น
นี่มันเป็นสถานที่ในวัด
เธอไม่สมควรที่จะคิดทำอะไรแบบนี้

แต่หล่อนหาได้ยินไม่
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
หล่อนแค่ยิ้มนิดเดียวแล้วก็โถมตัวลงกอดผมไว้จนดิ้นไม้หลุด

ดังงูเหลือมผู้หิวโหยรัดเหยื่อที่ไม่มีทางดิ้นหลุด

นึกถึงคำหลวงปู่สิมพูดกรอกหูตนว่า
“อำพล จำไว้นะ ราคะนี้ตัดยากที่สุด เพราะว่ามันเป็นรากแก้วของการสืบเผ่าพันธ์มนุษย์”

จริงดังหลวงปู่กล่าวเตือนทุกประการ

เมื่อหล่อนเปลื้องผ้าจนล่อนจ้อน

ผมก็บอกกับตนเองว่า
“I don’t care what right or wrong.”

สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา ผมมีอันได้สดุ้งตื่นขึ้นจริงๆ พร้อมกับอาการที่ผู้ชายในวัยเจริญพันธ์ทุกคนรู้จักดี
อาการนี้มีชื่อเป็นที่เข้าใจกันว่า “ฝันเปียก”

โดยที่ไม่มีทางอดกลั้นได้ไหว
เรียกว่า out of control
เหมือนน้ำป่ามันทะลักมาเป็นมวลใหญ่พังทลายทำนบที่ไม่แข็งแรงพอจนพังพินาศ
น้ำในฝายก็ถั่งท้นล้นออกมาจนเลอะเทอะเปรอะไปหมดทุกหย่อมหญ้า

นาทีนั้นรู้สึกท้อแท้ทอดอาลัย หมดท่า หมดสภาพ

เหมือนเป็นคนไร้ที่พึ่งอยู่ในความมืดมนที่ไม่มีแม้ไฟฉายสักกระบอก
ทั้งไฟแช้คสำหรับจุดเทียนก็วางอยู่นอกห้องตรงระเบียง

แน่ใจว่ากระดาษชำระไม่มี ด้วยก่อนเข้านอนก็เห็นแล้วว่ามีแต่ห้องเปล่าๆ
มือก็คลำไปตามริมผ้าห่มนวม
สัมผัสรอยปริเล็กๆได้นิดหน่อย
ลงมือฉีกรอยให้กว้างออก
จิกเอาใยฝ้ายที่บุข้างในผ้าห่มนั้นออกมา เช็ดคราบสกปรกแทนกระดาษชำระทีละขยุมมือ
แล้วกองเอาไว้ข้างๆตัว
ใยฝ้ายของผ้าห่มนวมใช้ได้ดีเหมือนกัน
ค่อยเช็ดค่อยทำจนแน่ใจว่าทำได้สะอาดที่สุดแล้วก็นอนเหม่อตาลืมโพลงด้วยความฉงน

นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ช่างเถอะ มันจะเป็นอะไรก็ช่าง มันเกิดขึ้นแล้วก็แล้วไป
มันเป็นแค่ฝันสัปดนเท่านั้น
ไม่มีแก่นสารสาระอะไรให้ต้องเสียเวลาคิดเป็นตุเป็นตะกะมันอีก

จากนั้นผมก็หลับต่อไปจนถึงรุ่งเช้าโดยไม่ฝัน โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของตะวัน
สิ่งเดียวที่กังวลคือเรื่องคราบสกปรกของเมื่อคืน
ซึ่งมันต้องปรากฏ
และมันจะเป็นการประจานตนเองต่อผู้อื่นที่ได้เห็น

ขมีขมันลุกขึ้นนั่ง
เลิกผ้าห่มที่คลุมตัวออกสำรวจดูกางเกงใส่นอนเป็นปฐม

เกิดแปลกประหลาดใจแล้วซี

ไฉนกางเกงที่แน่ใจว่าจะเกิดรอยเกิดคราบแห้งกรัง
กลับยังสะอาดหมดจรดดี
ไม่มีคราบสกปรกของสิ่งแปลกปลอมใดๆมาแปดเปิ้อนให้เห็นเป็นรอยเป็นคราบแม้แต่น้อย

นึกสงสัยตนเองว่าจะทำความสะอาดได้ดีเพียงนี้เชียวหรือ

หันไปดูใยฝ้ายที่ใช้เช็ดคราบที่ยังกองอยู่ข้างๆตัวให้แน่ใจ
หยิบขึ้นมาดูทีละก้อนทีละชิ้นอย่างพินิจ

นั่นก็สะอาดหมดจรดทุกชิ้นทุกอันเหมือนกัน

เมื่อพิสูจน์ขั้นปรมัตถ์ด้วยการดม
ก็มีเพียงแค่กลิ่นฝ้ายตามธรรมชาติของผ้าห่มเท่านั้น
หาได้มีกลิ่นของคราบอสุจิไม่

นึกถึงเมื่อคืนที่กลิ่นของมันคลุ้งไปทั้งผ้าห่มจนเต็มจมูก
ก็แน่ใจอย่างยิ่งว่าหาได้เป็นกลิ่นแห่งความฝันไม่

เราตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ ลงมือเช็ดคราบทำความสะอาดด้วยตนเองจริงๆ
ไม่ได้หลับ ไม่ได้ละเมอ ไม่ได้ฝัน

ช่างน่าอัศจรรย์แท้

คำถามที่เกิดขึ้นคือ
คราบเหล่านี้หายไปไหนหมด
หายไปได้อย่างไร

นี่นับว่าเป็นปรากฏการณ์พิสดารสุดๆ เท่าที่คนๆหนึ่งเมื่อเกิดมาบนโลกนี้แล้วจะได้ประสพ
และยังคงเป็นผู้ที่ยังหาคำอธิบายไม่ได้จนวันนี้

แม้นกาลจะล่วงผ่านมาเนิ่นนานหลายปี
นึกถึงเมื่อไหร่ก็อัศจรรย์ใจทุกครั้ง

เคยเล่าด้วยปากเปล่าให้หลายคนฟังมาก่อน
หลายกลุ่มหลายคณะ
ทุกกลุ่มทุกคณะไม่มีคำตอบหรือแม้แต่วิจารณ์ให้คลายข้อสงสัย

มีแต่ความเงียบกับความประหลาดใจเป็นคำตอบ

เรื่องนี้ผมไม่ได้เล่าให้หลวงปู่ฟัง
ถ้าเล่า..บางทีคำตอบอาจจะมีอยู่ที่ท่านนี่เองก็ได้

ใครเห็นเป็นไง
เชิญวิจารณ์ได้ครับ

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน