พระพุทธศาสดาบวชเพื่อละ สาวกบวชเพื่อสะสม

ข้อเขียนนี้นำมาจากจากเพจ ธรรมกะ บุญญพลัง

ก่อนหน้านั้นจะมีที่มาอย่างไรไม่ทราบ
แต่เนื้อความน่าสนใจ…เหมาะแก่ภาวการณ์ปัจจุบันของวงพระสงฆ์ไทย

(มีการปรับปรุงสำนวนการเขียนเพื่อเหมาะสม :อำพล เจน)

อาตมามีเพื่อนเป็นคนอินเดียอยู่หลายคน

เป็นพราหมณ์ที่ศรัทธาในวิถีพุทธ แต่เขาเป็นฮินดู เป็น ด๊อกเตอร์ก็มี เป็นผู้นำทางศาสนาก็มี และหลายๆคนนั้นแตกต่างทางด้านชนชั้นวรรณะก็มี

ชาวอินเดียที่เป็นฮินดู เป็นพราหมณ์ เขามองว่าพุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งที่แยกออกไปจาก ศาสนาของเขา เป็นกิ่งหนึ่งของเหล่าพราหมณ์ที่ดำเนินมาทางปัญญา ไม่ขึ้นกับความเชื่อที่ไม่มีเหตุปัจจัย

เขาภูมิใจในบรรพบุรุษของเขา ที่เรานับถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าของเรา
ความภูมิใจของเขาไม่เกี่ยวกับเหล่าสาวกทั้งหลายที่เป็นพระอย่างพวกเรา

อาตมาเข้าไปสู่อินเดียด้วยความภาคภูมิใจ ในการที่ได้เดินทางไปในเพศบรรพชิต ไตรจีวรชุดเดียว เดินอย่างสง่าผ่าเผย ท่ามกลางสายตาของคนฮินดู พวกเขาแปลกใจและชื่นชม
หลายท่านน้อมเข้ามานมัสเต เอามือซ้ายแตะหน้าอก เอามือขวาแตะที่เท้าอาตมา ก้มลงและกล่าวนมัสเตด้วยความภูมิใจ ที่ได้เห็นสาวกของบรรพบุรุษเขา ยังคงยืนอยู่บนผืนแผ่นดิน

——–

ดร. อรชุน ผู้เป็นเพื่อนของอาตมา ได้กล่าวว่า ..นานแล้วแม้แต่บนผืนแผ่นดินของอินเดียที่ไม่ได้เห็นพระครองจีวรด้วยผ้าบังสกุล เป็นผ้าผืนเดียวเก่าคร่ำ เดินประกาศตัวอย่างสง่างามเช่นนี้
การเปลือยไหล่ ครองผ้าสังฆาฏิ ย่ำไปบนพื้นด้วยเท้าเปลือยเปล่า ท่ามกลางอากาศแสนหนาว ที่ไม่มีอะไรมาห่อหุ้ม นอกจากไตรจีวร

ตรงนี้..สร้างความนับถือและเลื่อมใสต่อพุทธศาสนิกชน ที่หันไปนับถือลัทธิต่างๆ ได้เหลียวกลับหลังมามองดู
พวกเขาอยากเข้ามากอด มาจับหลังเท้า เพื่อขอเดินตามรอยเท้า อย่างเช่นที่บรรพบุรุษของเขาได้เคยประกาศไว้

แต่เดี๋ยวนี้ บนผืนแผ่นดินแทบไม่มี
ที่มีก็เต็มไปด้วยความมักมาก
ไม่ยังอัตภาพให้เกิดความพอดีตามที่พระศาสดาบรรพบุรุษของเขา หรือพระพุทธเจ้าของเราได้ทรงปูทางเอาไว้

———

เขาบอกว่า พระจากเมืองไทยเสื่อมถอยมาก

———

พระพุทธเจ้าของพวกเขา ละจากความเป็นพระราชา มาสู่ความเป็นยาจก
แต่สาวกแห่งพุทธศาสนา ละจากความเป็นยาจก เพราะอยากเป็นพระราชา

———

185111-4
พระต่างๆที่มา ไม่ว่าจะเป็นจาก จีน ฑิเบต ไทย ญี่ปุ่ญ พม่า ลาว เขมร ศรีลังกา เนปาล บังคลาประเทศ หรือแม้แต่ในอินเดียเอง ล้วนทำตัวสูงส่งเป็นเทวดา บ้าคลั่งลัทธิการบูชา

หากมาหน้าหนาว พระทั้งหลาย จะปกคลุมร่างกายด้วยเครื่องห่มหุ้มกายแบบมหาเศรษฐี เป็นพวกพระผู้ดี ไม่เหมือนนักบวชอื่นๆในประเทศอินเดียที่ไม่ใช่พุทธ
ทั้งหมวกไหมพรม ถุงมือ ถุงเท้าซ่อนเสื้อกันหนาวภายในและห่มชั้นนอก ผ้าพันคอขนสัตว์ และกินอยู่อย่างอลังการ อาหารเลิศหรู เอาแต่ใจ ยกตัวเองเป็นเทวดา และข่มขู่ผู้คน ยังกะไม่ใช่คน

พอบวชแล้วกลายเป็นเป็นเทพเจ้า เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ แตะไม่ได้ ว่าไม่ได้ เป็นของสูงที่ควรเทิดทูนบูชา ไม่ว่าจะเป็นไอ้เหี้ยไอ้ห่าสารเลวที่ไหน ก็เป็นเหมือนกันหมด

นี่..พวกเขามองพระในพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้

———-

ส่วนพวกเขาเองอยู่อย่างพอมีพอกิน

นักบวชที่นี่เปลือยกายไม่เอาอะไร พวกเขาท้าทายความหนาวก็มี อยู่อย่างละทิ้งสิ่งสะสม มาบวชแล้วสละ อยู่แค่ยังอัตภาพ เพื่อหาโมกธรรม

แม้ดูสกปรกรุงรัง แต่นักบวชของเขา มันน่าเลื่อมใสต่อจิตใจผู้คน ที่แตกต่างจากพระอย่างเราๆ ที่มีความเป็นอยู่อย่างมหาเศรษฐี

———-

พระพุทธเจ้าบวชเพื่อละ แต่สาวกบวชเพื่อสะสมจนอิ่มหมีพีมัน

———-

แม้นักบวชของเขาเอง ที่เป็นพระเป็นพุทธศาสนา ต่างก็กอบโกยสะสม ด้วยความโลภโมโทสันด้วยกันแทบทุกคน
พุทธศาสนาในดินแดนเขา จึงมีเหลือไม่ถึง 1% จากคนเป็นพันล้าน นี่พุทธมันเสื่อมถอยในประเทศเขา..ประเทศอินเดีย
เพราะเห็นชัดถึงความเป็นศาสนาแห่งการกอบโกย ขัดแย้งกับคำชี้แนะสอนชาวบ้านว่าให้สละ อย่าไปยึดมั่นถือมั่น

———-

นักบวชเราที่เป็นพุทธศาสนาในสายตาของชาวอินเดียที่เป็นเจ้าของศาสนานั้น

มันช่างน่าอายจริงๆ..พระพุทธเจ้าทรงครองผ้าชุดเดียว แต่ของเรามันพอกซะหลายชุด
มันช่างน่าอายจริงๆ..พระพุทธเจ้าทรงย่ำเท้าด้วยพระบาทเปล่า แต่เราย่ำเท้าแค่ตอนไปขอเขากินบิณฑบาต

———-

พระมหากัสปะ ครองผ้าที่ปะแล้วปะอีก จนหนาเตอะเป็นจีวรคร่ำ 

แต่เราสาวกรุ่นหลัง ผ้าใหม่สีสด หลากหลายชุดใหม่ๆเตรียมไว้ใส่ ยังกะเสื้อของชาวบ้าน

———–

ชาวอินเดียเขาถือว่า นี่ไม่ใช่นักบวช เขาถือว่า นี่เป็นแค่เห็บที่มาเกาะหนังหมาเพื่อเลี้ยงตัวตน

เป็นเห็บที่ประกาศตนว่าตนเป็นเจ้าของแห่งผืนหนังหมา

————

เมื่อมาเจอพระอย่างอาตมา เขากลับบอกว่า นี่ไม่ใช่พระ พวกเขาไม่ได้ก้มกราบด้วยความเป็นพระ อย่างที่ใครเขาเข้าใจ

พระที่เดินตามหลังมากมาย พวกเขาไม่กราบนมัสเต เขาถือว่านั่นเป็นพระทั่วไป ที่เป็นธรรมดาที่เขาเห็นและเข้าใจอยู่แล้ว

แต่ที่เขามากราบมัสเต เพราะเขาเห็นว่านี่เป็นนักบวช ที่บวชเข้ามาเพื่อยังศาสนาของบรรพบุรุษเขาให้เจริญรุ่งเรือง

เขากราบด้วยความเป็นผู้เดินตามรอยพระบาทของพระผู้เป็นเจ้า ที่เขาภาคภูมิใจด้วยความเคารพ

————-

และเมื่อได้คุยธรรมกัน ความศรัทธาในธรรมที่ตรงและเห็นชัดตามรู้ได้ สร้างความปลื้มปิติใจในความเป็นพุทธศาสนาที่เขาค้นหา ไม่ต้องลอกจำจากพระสูตรหรือหนังสือมา

————-

ภาวะเช่นนี้ ที่เขามองมาทางเรา เขาย่อมตัดสินตามความเห็นของเขา
แต่เรา ผู้เดินตามรอยเท้าพระพุทธองค์ ..เราแหกคอกด้วยตัณหาอัตตาด้วยความเป็นเรา
หรือเราเดินตามทางที่พระพุทธองค์ได้ทรงชี้ไว้จริงๆ

———-

การยืนอย่างสง่าผ่าเผยในต่างแดน อย่างไม่หวั่นไหวในสายตาใคร แม้แต่เจ้าของต้นแบบแห่งศาสนาก็ยังหวั่นไหว

นี่..เพราะความมั่นใจในธรรม และความประพฤติ ตามครรลองคลองธารแห่งการถือธุดงค์

———–

Tudong

ธุดงค์คือการชำระกิเลส ด้วยกาย วาจา ใจ

นักบวชไทยก่อนไปอินเดีย ชำระใจให้ใจมันเกิดการธุดงค์หรือยัง

ถ้ายัง..อยู่เมืองไทยเฝ้ากองกิเลสไว้ อย่าเผยโฉมออกไปให้ใครๆที่อินเดียเขาสมเพชและเวทนาในเบื้องหลังอันแสนอดอยาก แล้วเอาตัวมาฝากพุทธศาสนา เพื่อขุนตัวเองให้อ้วนท้วนสุขสบาย

คนบัดซบเหล่านี้..!! บวชมาเป็นขี้ข้ากิเลส บวชมาทำความเสื่อมเสียให้พระศาสนา ,ให้ใครต่อใครเขาพากันดูถูกเอา…!!

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน