พระอาจารย์ พิเชษฐ์ พันธมุตโต

พระอาจารย์ พิเชษฐ์ พันธมุตโต
วัดป่าบ้านละหานทรายใหม่ ต.หินลาด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์

ผู้เขียน : jun
(รวบรวมจาก ampol jane.com )

Jul 4 2010
ประวัติ

พระอาจารย์พิเชษฐ์ พันธมุตโตออกบวชเมื่อปี 2531 สังกัด ธรรมยุตนิกาย พระจารย์เล่าว่าเป็นการบวชแก้เซ็ง เมื่อบวชแล้วได้พบพระอาวุโสรูปหนึ่ง พูดเรื่องสิ่งลี้ลับในการนั่งสมาธิ เพื่อนพระภิกษุด้วยกันได้สนทนาเรื่องการอดข้าวในการบำเพ็ญเพียร บางรูปก็บอกว่าอดข้าวได้ 7 วัน บ้างก็ได้ 49 วัน แต่พระอาจารย์ไม่เชื่อ และอยากเอาชนะ จึงได้นั่งปฏิบัติองค์เดียวภายในกุฏิ ในเรื่องของการอดข้าวเพื่อปฏิบัติสมาธิ พระอาจารย์ก็เคยอดข้าวได้ถึง 49 วัน แต่ท่านบอกว่า “ก็ได้แค่อดข้าว แต่ไม่ได้ผลทางสมาธิ”

เมื่อท่านปฏิบัติจนได้สมาธิแล้ว จึงได้ออกบำเพ็ญเพียรตามป่าเขา ลำเนาไพร ในถ้ำ และปราสาทต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อการฝึกจิต ,ศึกษาธรรมชาติ และโปรดดวงวิญญาณตามสถานที่ต่างๆ ในส่วนของวิชาต่างๆที่ท่านได้นำมาช่วยเหลือญาติโยมทั้งหลายนั้น ก็ได้มาจากการฝึกสมาธิโดยตรงไม่ได้ไปเรียนวิชากับพระรูปใด เหมือนกับวิชาใช้ไม้รักษาโรค ท่านก็ได้จากการนั่งภาวนาแผ่บารมีไปให้ต้นไม้เป็นเวลาถึง 2 ปี จึงสามารถรู้ถึงคุณสมบัติทางยาของต้นไม้แต่ละส่วนตั้งแต่รากถึงยอด และสามารถนำกิ่งไม้ใช้รักษาได้โดยการดึงกระแสยาของไม้ทุกชนิดในป่ามารักษาโรคได้

ท่านสามารถรู้ว่าแต่ละคนเจ็บป่วยทางไหนจากที่ได้รู้จักท่านพระอาจารย์มาและได้สังเกตคนที่มาขอพึ่งบารมีจากพระอาจารย์ ท่านสามารถรู้ว่าแต่ละคนเจ็บป่วยทางไหน เช่น เจ็บเอว ปวดหลัง หัวใจไม่มีแรง เป็นโรคกระเพาะ หรือแต่ละคนนิสัยใจคอเป็นอย่างไร โดยไม่ต้องบอกวันเดือนปีเกิด ท่านก็สามารถบอกอาการของโรคและนิสัยใจคอได้ถูกโดยที่ผู้มาหายังไม่ได้บอก ลักษณะถามมาตอบได้ ก็น่าแปลกดีนะ

คนแถบจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็กลัวว่าจะถูกของหรือคุณไสยเล่นงาน พอมาพบพระอาจารย์ท่านก็จะสามารถแยกออกได้ว่าเกิดจากคุณไสยหรือโรคเครียด ซึ่งพบมากในสังคมปัจจุบัน (ซึ่งคนที่เป็นโรคเครียดที่มาหาพระอาจารย์จะมีลักษณะอาการคล้ายถูกคุณไสย เช่น นอนไม่หลับ พูดจาไม่ได้สติ เจ็บตรงโน้น ปวดตรงนี้ เป็นต้น)

—-

(พระผงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 ซม. ตามสมัยจตุคามนิยม)

Jul 10 2010

ประสบการณ์จากการใช้วัตถุมงคลของหลวงพ่อ

เหรียญหรือรูปหล่อลอยองค์ของหลวงพ่อพิเชษฐ์ จะมีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยรักษาโรคบางชนิดในการดำเนินชีวิตประจำวันของแต่ละคน หลายคนประสบปัญหา ภาวะเงินขาดมือ ขาดสภาพคล่อง ปัญหาครอบครัว และที่อยู่อาศัย นายคำ (นามสมมุติ) เป็นชายคนหนึ่งอายุประมาณ 50 ปี เป็นชาวบ้านตะโก อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ได้ลงทุนทำไร่มันสำปะหลัง ประมาณ 50 ไร่ ในแต่ละปีไร่มันสำปะหลังของนายคำจะทำรายได้ให้แก่ครอบครัวค่อนข้างเยอะ แต่ในปีนี้ไร่ของนายคำประสบปัญหาเพลี้ยกินมันสำปะหลังทั้ง 50 ไร่ ทำให้ขายมันสำปะหลังขาดทุน

วันหนึ่งนายคำได้ไปที่ไร่ตามปกติ พอตกเย็นนายคำก็กลับบ้าน แต่ทุกคนที่เห็นนายคำต่างก็งงเป็นไก่ตาแตกเหมือนกัน เพราะใครถามอะไร นายคำกลับเฉยไม่มีการโต้ตอบแต่อย่างใด สร้างความแปลกใจแก่ลูกของนายคำเป็นอย่างมาก นายคำ ผู้ซึ่งเคยเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุย ทักทาย เมื่อพบหน้าลูกๆ ญาติ หรือเพื่อน นั้น ในขณะนี้อยู่ในอาการเหม่อลอย พูดไม่รู้เรื่อง จำใครก็ไม่ได้ คล้ายคนบ้า ที่สำคัญเมื่อลูกๆหาข้าวหาน้ำให้แกกิน แกกลับกินข้าวไม่ค่อยได้

คนในครอบครัวและญาติพี่น้อง เห็นอาการนายคำเป็นเช่นนี้ จึงได้เชิญคนทรงเจ้าหรือร่างทรงมาดู เมื่อคนทรงได้มาทำพิธีแล้วจึงบอกว่านายคำ ถูกของหรือคุณไสยและร่างทรงก็สันนิษฐานว่าเกิดจากนายคำเป็นคนที่หาเงินเก่ง คล่อง ทำให้หลายคนเกิดความอิจฉา ริษยา จึงได้ทำของใส่นายคำ (ความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ) คนทรงแนะนำให้ญาติพานายคำไปรักษาตัวกับอาจารย์(ไม่ทราบชื่อ) ที่จังหวัดชัยภูมิ ค่าครูรักษาประมาณ 8,000.- บาท สำหรับคนธรรมดาอย่างชาวบ้านจำนวนเงินแปดพันบาทมันก็มากน่าดู หลังจากที่คนทรงเดินทางกลับ ญาติพี่น้องจึงได้ปรึกษากันว่าจะพานายคำไปรักษาที่จังหวัดชัยภูมิดีหรือไม่ และต่างก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันคือไม่พาไปเพราะคิดว่าค่าใช้จ่ายอย่างอื่นก็ต้องตามมา เช่น ค่าเหมารถและค่าน้ำมัน ค่ากิน อื่นๆ จิปาถะ เอาหล่ะ ทีนี้ ทุกคนจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี หากทิ้งไว้อย่างนี้ นายคำ ต้องอดข้าวตายแน่

ในบรรดาญาติของนายคำนั้น มีชายคนหนึ่งชื่อสุภาพเป็นคนสุรินทร์ และมีศักดิ์เป็นน้องเขยของนายคำ นายสุภาพ เคยไปกราบนมัสการหลวงพ่อพิเชษฐ์ที่วัดป่าบ้านละหานทรายใหม่มาแล้ว และนายสุภาพก็มีเหรียญกลมด้านหน้าเป็นรูปพระอาจารย์นั่งสมาธิ มีดวงแก้วอยู่ในมือ ด้านข้างมีพญานาคสองตน มีพระพุทธเจ้าอยู่เหนือศรีษะพระอาจารย์ และพระอาทิตย์ อยู่ด้านขวา พระจันทร์อยู่ด้านซ้าย ด้านหลังเป็นรูปธรรมจักร และอักษรคำว่า ละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตให้บริสุทธิ์นายสุภาพ เห็นสภาพของนายคำ ก็รู้สึกสงสารพร้อมๆกับความรู้สึกกลัว ก็ได้ด้แต่คิดว่าทำยังไงถึงจะช่วยเขาได้ อยู่ๆนายสุภาพก็ได้นึกถึงญาติคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่อ ซึ่งเคยบอกว่าเหรียญของหลวงพ่อสามารถช่วยเหลือคนที่ถูกคุณไสยได้ วิธีการคือให้ไปจุดธูป 9 ดอก ปักกลางแจ้งอธิษฐานขออาราธนาอัญเชิญบารมีของหลวงพ่อมาช่วยรักษา และให้นำเหรียญไปไว้บนศรีษะหรือคล้องคอของคนป่วย

เมื่อนายสุภาพคิดได้ดังนั้น จึงเริ่มดำเนินการทันที โดยได้จุดธูป 9 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ และสวดบทสวดมนต์ของหลวงพ่อพร้อมตั้งจิตอธิษฐาน ขออัญเชิญบารมีของหลวงพ่อมาช่วยรักษาโรคให้กับคนป่วย และหลังจากนั้นจึงได้นำเหรียญไปห้อยคอนายคำ พูดไปก็เหมือนนิยาย สักพักหนึ่งนายคำเริ่มรู้สึกดีขึ้น

รุ่งเช้าของวันใหม่นายคำก็เริ่มกินข้าวได้ และเริ่มจดจำ ลูกเมีย ญาติ และ เพื่อน ได้อีกด้วย สร้างความประหลาดใจให้กับท่านผู้ชมเป็นอย่างมากและแล้ว ประมาณวันที่ 14 มิถุนายน 2553 นายสุภาพจึงได้เหมารถกระบะเพื่อนำนายคำและญาติ เดินทางจาก บ้านตะโก อ.ตาพระยา ไปกราบนมัสการท่านหลวงพ่อพิเชษฐ์ณ วัดป่าบ้านละหานทรายใหม่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ นายสุภาพ ยังได้เล่าต่อไปอีกว่า เมื่อได้เดินทางมาพบพระอาจารย์ ซึ่งยังไม่เคยรู้จักญาติพี่น้องของนายสุภาพแต่อย่างใดแต่พระอาจารย์จะพูดถึงนิสัยใจคอของแต่ละคนที่มาด้วยกัน ค่อนข้างถูกต้อง และแต่ละคนจะหัวเราะชอบใจมากที่ได้ฟังพระอาจารย์พูดถึงตัวเอง แต่สำหรับนายคำนั้น พระอาจารย์กลับบอกว่าไม่ได้ถูกคุณไสย แต่สาเหตุเกิดจากความเครียดของนายคำเอง เมื่อญาติและนายคำได้ฟังพระอาจารย์พูดว่าไม่ได้ถูกคุณไสย ต่างก็รู้สึกโล่งใจ และสบายใจกันถ้วนหน้า และหลังจากกราบลาพระอาจารย์แล้วนายสุภาพจึงได้พาญาติพี่น้องไปเที่ยวชมปราสาทเขาพนมรุ้ง และเดินทางกลับบ้านตะโก อ.ตาพระยา ในวันเดียวกันนั่นเอง

เป็นอันว่าเรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ให้กับอีกหลายๆคน คนทรงเจ้าของจริงก็มี เก๊ก็มี การที่เราได้รับฟังหรือได้ยินอะไรมาขอให้พิจารณาให้ถี่ถ้วน จงอย่าเชื่อทุกสิ่งที่ได้ยิน ควรใช้สติปัญญาคิดไตร่ตรองใคร่ครวญให้รอบคอบเสียก่อน

—-

Jul 11 2010

ทดสอบศิษย์สู้กับผ้าขี้ริ้ว

เมื่อประมาณปี 2546 มีลูกศิษย์ชาวจังหวัดจันทบุรีของท่านคนหนึ่ง ได้มากราบท่านหลวงพ่อพิเชษฐ์และได้นิมนต์ท่านเดินทางไปทอดผ้าป่า ที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุโขทัย ลูกศิษย์จากประโคนชัย คุณทวีก็ได้ร่วมเดินทางไปด้วย เมื่อเดินทางไปถึงวัด มีญาติโยมเดินทางมาทอดผ้าป่าเยอะมาก โดยมากญาติโยมที่มาทำบุญจะเข้าไปกราบพระอาวุโส หรือหลวงปู่ดังๆเพื่อให้ท่านเป่าหัว แต่สำหรับหลวงพ่อนั้นไม่เป็นที่รู้จักของใคร

เมื่อหลวงพ่อพิเชษฐ์ได้เข้าไปนั่งในเก้าอี้ที่ทางวัดได้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่นั่งรอพิธีทอดผ้าป่านั้น มีพระสงฆ์ 2 รูปมานั่งเก้าอี้ใกล้ๆหลวงพ่อ พระทั้งสองน่าจะรู้จักกันมาก่อน เพราะต่างก็คุยเรื่องเครื่องรางของขลัง เกทับกันไปทับกันมา

สักพักหนึ่งหลวงพ่อจึงได้เรียก คุณทวีให้หยิบกล่องไม้ขีดไฟที่อยู่ใกล้ๆขึ้นมา ปรากฏว่าไม้ขีดไฟธรรมดาๆ ที่คุณทวีเคยหยิบอย่างง่ายดาย กลับยกไม่ขึ้น พยายามออกแรงสุดกำลัง ก็ไม่สามารถทำให้กล่องไม้ขีดไฟขยับได้ จึงได้แต่มองหน้าหลวงพ่อ ซึ่งขณะนี้กำลังนั่งอมยิ้มอย่างมีความสุข และพระทั้งสองรูปรวมทั้งคนรอบข้างก็กำลังมองมาที่คุณทวีเช่นเดียวกัน แล้วหลวงพ่อจึงใช้นิ้วชี้ไปที่กล่องไม้ขีดไฟ แล้วบอกให้คุณทวีลองยกขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ปรากฏว่าคุณทวียกไม้ขีดไฟขึ้นมาแบบง่ายดายแทบไม่ต้องออกแรงเลย คราวนี้พระทั้งสองต่างหันมามองหน้ากัน รวมทั้งผู้ชมรอบข้างคงคิดว่าหลวงพ่อกับลูกศิษย์กำลังเล่นกลแหงๆ

หลวงพ่อจึงเรียกคุณทวีอีกครั้ง แล้วบอกว่า “โยมทวีช่วยหยิบฝาขวดน้ำโพลาลิส แล้วยกขึ้นให้ดูหน่อย” คุณทวีจึงยื่นมือขวาไปหยิบฝาขวดน้ำ ซึ่งวางอยู่ด้านหน้าห่างจากตัวประมาณหนึ่งศอก พอหยิบขึ้นมาก็กำมือยกฝาขึ้น แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าคุณทวีไม่สามารถใช้มือขวาข้างเดียวยกฝาขึ้นได้ คุณทวีเล่าต่อว่าในขณะนั้นมีความรู้สึกว่าในมือที่กำอยู่มันไม่ใช่แค่ฝาขวดน้ำธรรมดาๆ เพราะในการยกต้องออกแรงมาก เมื่อใช้มือชวาข้างเดียวยกไม่ขึ้น จึงได้หาตัวช่วยอีกข้างหนึ่ง ตอนนี้คุณทวีใช้มือทั้งสองข้างออกเกร็งกำลังสุดแรงเกิด เกร็งเต็มที่จนตัวโก่ง เส้นเลือดที่มือพองทั้งสองข้าง นาทีนี้ทั้งพระทั้งคนหันมามองคุณทวีเป็นตาเดียวกัน หลวงพ่อพิเชษฐ์พูดกับคุณทวีว่า “ยิ่งสู้ยิ่งแรง” คุณทวีไม่เข้าใจความหมายที่หลวงพ่อพูด คิดว่ายิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ของในตัวจะแรงขึ้น จึงพยายามต่อสู้เต็มที่ สุดท้ายก็หมดแรงจึงหยุด เมื่อหยุดแล้วจึงปล่อยวาง หลวงพ่อจึงบอกให้ยกใหม่ จึงยกขึ้นได้แบบเบาสบาย ถึงตอนนี้ผู้ชมเริ่มสนใจเพิ่มขึ้น แต่หลวงพ่อยังไม่หยุดการทดสอบ หลวงพ่อได้บอกให้คุณทวีไปหยิบผ้าขี้ริ้วมา คุณทวีก็ไปหยิบมา แต่คราวนี้หนักกว่าเดิม

ผ้าขี้ริ้วธรรมดาๆ กลับมีชีวิต มันดิ้นได้ แถมดิ้นเพื่อจะเช็ดหน้าคุณทวีอีก คุณทวีบอกว่าครั้งนี้เหนื่อยสุดๆ คิดในใจว่านี่มันผ้าเช็ดเท้านะหลวงพ่อ ในขณะที่กำลังต่อสู้อยู่กับผ้าขี้ริ้ว ซึ่งเดี๋ยวก็ดิ้นไปทางซ้าย เดี๋ยวก็ดิ้นไปทางขวา เหนื่อยก็เหนื่อย สักพักหนึ่งหลวงพ่อจึงบอกให้คุณทวีนิ่ง หยุดต่อสู้ แล้วทำจิตให้ว่าง แล้วทำตามหลวงพ่อ ทุกอย่างจึงสงบได้ พอเสร็จเรื่องปุ๊บ งานก็เข้าหลวงพ่อทันที เริ่มจากพระสองรูปเข้ากราบหลวงพ่อให้เป่าหัว ติดตามด้วยญาติโยมไม่รู้มาจากทิศใดบ้าง แหละนี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคุณทวี แม้เวลาผ่านไปประมาณ 8 ปี แล้วก็ยังจดจำเรื่องราวได้อย่างแม่นยำ

เรื่องนี้เจตนาหลวงพ่อไม่ได้ต้องการอวดอ้างแต่อย่างใด เพียงต้องการสอนคุณทวีที่เป็นศิษย์ใหม่ ยังไม่ได้มีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงพ่อเท่าใดนัก

ยังมีต่ออีก รอก่อนนะแล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อ

—-

Jul 13 2010

เรื่องเล่าจากหญิงชรา

มีลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 65 ปี ชื่อแม่ใหญ่หล้า (นามสมมุติ) เป็นคนจังหวัดสุรินทร์ มักจะติดตามลูกๆ เดินทางไปกราบนมัสการพระอาจารย์พิเชษฐ์เป็นประจำ ในการเดินทางแต่ละครั้งแม่ใหญ่หล้าก็จะบอกลูกหลานร่วมเดินทางไปด้วย โดยใช้รถยนต์ 4 ประตู หากคนเยอะก็จะมีบางคนที่ต้องนั่งกระบะหลัง เพราะแต่ละคนที่ร่วมเดินทางจะไม่มียานพาหนะเป็นของตัวเอง

วันนี้ซึ่งตรงกับวันพระก็เป็นอีกวันหนึ่งที่แม่ใหญ่หล้าได้เดินทางมาหาพระอาจารย์พร้อมกับลูกๆหลานๆ และที่วัดป่าบ้านละหานทรายใหม่ทุกวันพระจะมีญาติโยมนุ่งขาวห่มขาวมาปฏิบัติธรรม ก่อนที่แม่ชีพราหมณ์จะไปปฏิบัติธรรม จะต้องมากราบนมัสการพระอาจารย์ก่อนทุกครั้ง และเมื่อแม่ใหญ่หล้าได้มาพบกับแม่ชีพราหมณ์ ก็ได้พูดคุยกันตามประสาผู้เฒ่า แต่แม่ชีพราหมณ์รู้สึกจะถูกชะตากับแม่ใหญ่หล้าเป็นพิเศษเพราะคุยตั้งนานไม่ยอมไปปฏิบัติธรรมสักที

ในขณะที่แม่ใหญ่หล้าเริ่มเหนื่อยและล้ากับการนั่งนานๆ (เพราะแกก็มีโรคประจำตัวด้วย) แกก็เริ่มบ่นและคิดในใจว่าเมื่อไหร่หนอ เขาถึงจะไปสักที สักพักพระอาจารย์ก็ถามแม่ชีว่า “แม่ชีนี่มันเวลาไหนแล้ว เมื่อไหร่จะไปปฏิบัติธรรมกันหล่ะ มัวแต่นั่งคุยอยู่นี่มันจะได้อะไร” พอแม่ชีได้ยินพระอาจารย์ถามจึงได้กราบลาท่านไปปฏิบัติภารกิจ (มันก็แปลกดีนะ หรืออาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้จริงไหม)

หลังจากที่เหล่าบรรดาแม่ชีพราหมณ์ได้ออกจากกุฏิพระอาจารย์ไปแล้ว แม่ใหญ่หล้าจึงได้เข้าไปกราบพระอาจารย์ และพระอาจารย์จึงได้ใช้ไม้ช่วยรักษาโรค และเสริมบารมีให้ ในขณะที่ท่านได้ใช้พลังจิตช่วยรักษาโรคนั้น (ครั้งต่อไปจะเล่าเรื่องการใช้ไม้รักษาโรคให้ทราบอีกครั้ง) ความรู้สึกของแม่ใหญ่หล้าจากที่เคยเหนื่อยล้า ปวดหลัง แน่นหน้าอกและเจ็บหัวใจ กลับรู้สึกมีพลังแทรกเข้ามาในร่างกาย และเริ่มรู้สึกดีขึ้นเป็นลำดับ บางคนอาจจะมองว่าเป็นอุปาทาน แต่แม่ใหญ่หล้ากลับบอกว่าเป็นเพราะบารมีของพระอาจารย์ เดิมทีแม่ใหญ่หล้าคนนี้เคยเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลและพบแพทย์ตามกำหนดนัดเป็นประจำ แต่หลังจากที่ได้พบพระอาจารย์แล้ว แม่ใหญ่หล้าแทบจะไม่ได้ไปโรงพยาบาลเพื่อรับยาจากแพทย์อีกเลย นอกจากไปเยี่ยมคนป่วยหรือเยี่ยมหลานที่เพิ่งคลอดลูกใหม่

Jul 17 2010

เรื่องพระใหม่กลัวผี

ขอย้อนอดีต ตอนที่หลวงพ่อได้บวชเป็นพระใหม่นั้น หลวงพ่อบอกว่าท่านจะเป็นพระที่กลัวผีมาก เนื่องจากในสมัยนั้นความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง และในวัยเด็กของหลวงพ่อที่อาศัยอยู่ตามชนบทนั้นผู้เฒ่าผู้แก่มักจะเล่าเรื่องผีให้เด็กๆฟัง เพื่อให้เด็กกลัวไม่กล้าไปเที่ยวเตร่ในยามค่ำคืน ครั้นหลวงพ่อบวชแล้วก็ยังไม่วายกลัวผี เนื่องจากสถานที่พำนักก็คือวัด วัดก็คือที่ๆผีอยู่นั่นเอง

เมื่อถึงเวลากลางคืน พระแต่ละรูปต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปภาวนาตามกุฏิของตน กุฏิที่หลวงพ่ออยู่นั้นจะเป็นกุฏิไม้กลางเก่ากลางใหม่ และกุฏิไม้ย่อมจะมีรูเป็นของธรรมดา หลวงพ่อเล่าว่าขณะจะเริ่มนั่งสมาธิ จะมองสำรวจไปรอบๆเมื่อมองไปเห็นรูหรือรอยแยกของไม้หลวงพ่อจะเอาผ้าหรือกระดาษไปอุด เพราะคิดว่าถ้ามีรูผีจะเข้ามาหาได้ เลยต้องหาทางป้องกันด้วยการอุดรู แต่พออุดรูได้แล้วหลวงพ่อก็ไม่ได้เลิกกลัวอย่างที่คิดเพราะรูไม่ใช่ต้นเหตุของความกลัว หลวงพ่อจึงพิจารณาที่ใจของตนแล้วจึงหาทางแก้ที่ใจ สุดท้ายหลวงพ่อก็ไม่กลัวผีอีกเลย

แต่ในทางตรงกันข้ามหลวงพ่อจะเห็นใจและสงสารดวงวิญญาณต่างๆมากกว่าหลวงพ่อเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อเราตายไปแล้วสังขารของเราก็แตกดับไป แต่ดวงจิตของเรายังอยู่ คือตัวไม่ตาย และตัวไม่ตายบางตัวทำกรรมไว้มาก ทำให้มองไม่เห็นทางสว่าง เรียกว่าหาทางไปไม่เจอ

เมื่อไหร่ที่เขาสัมผัสถึงความสว่างหรือรัศมีในตัวของผู้มีบารมีเขาจะมาขอความช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์ยาก อดอยากและหิวโหยซึ่งดวงวิญญาณเหล่านั้นเป็นพวกที่น่าสงสารมาก หลวงพ่อบอกว่า พวกเราทุกคนที่เป็นมนุษย์จะไปไหนก็หาทางไปได้เอง หิวกระหายก็หากินเอง เจ็บป่วยก็ไปหาหมอได้เองแต่ผิดกับดวงวิญญาณบางจำพวกซึ่งไม่มีบุญติดตัว จะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และ ดวงวิญญาณต่าง ๆ ที่ถูกกักขัง จองจำ ด้วยมนต์ไสยศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้งานโดยจอมขมังเวทย์ทั้งหลาย

หลวงพ่อจึงพาลูกศิษย์ให้ความช่วยเหลือแก่ดวงวิญญาณทั้งปวงเหล่านั้น ให้เป็นอิสระ ไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้นต่อไปถือเป็นการสร้างบารมีแก่ตนอีกวิธีหนึ่งด้วย และหลวงพ่อก็มักจะสอนลูกศิษย์เสมอว่าเมื่อเราได้เกิดเป็นมนุษย์ให้หาโอกาสสร้างความดีเอาไว้ให้มากเมื่อตายไปแล้วจะได้ไม่ลำบาก

ยังมีอีกแต่เดี๋ยวก่อนดีกว่า…

โปรดติดตามตอนหลวงพ่อเผชิญวิญญาณ…

เร็วๆนี้ พบกันที่นี่…

—-
Jul 21 2010

หลวงพ่อเผชิญวิญญาณ

ในสมัยที่หลวงพ่อยังเป็นพระใหม่อยู่นั้น หลวงพ่อได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าคืนหนึ่งขณะที่หลวงพ่อนั่งสมาธิภาวนา คำภาวนาที่หลวงพ่อใช้ก็คือพุท โธ

เมื่อนั่งไปได้สักพักหนึ่ง จิตเริ่มเป็นสมาธิ หลวงพ่อก็เห็นดวงวิญญาณชายผิวดำ นุ่งผ้าแดง ไม่ได้ใส่เสื้อ มือขวาถือดาบเดินตรงดิ่งเข้ามาเงื้อดาบขึ้นจะฟันหลวงพ่อ ความรู้สึกของท่านในขณะนั้นไม่ได้กลัวเลย

หลวงพ่อจึงบอกว่าถ้ามึงจะฟันกูก็ฟันได้เลย ชายคนนั้นก็ฟันตรงกลางกระหม่อมลงมาสุดแรงเกิดเหมือนกัน

หลวงพ่อเล่าว่าท่านรู้สึกได้ถึงดาบที่ฟันลงตั้งแต่กลางศีรษะไปจนถึงขา มันรู้สึกชาวาบไปหมดเลย

แล้ววิญญาณดวงนั้นก็หายไปเลย แล้วจิตก็รู้สึกโล่ง ว่าง สบาย หลวงพ่อจึงเข้าใจถึงนิมิตลวง ไม่ใช่ของจริง

ซึ่งท่านกล่าวว่า ถ้าจิตเราสงบและมีสติรู้ทันมันแล้ว เราจะไม่รู้สึกกลัวและหวั่นไหว

และก็คิดว่านี่กระมังที่ทำให้นักปฏิบัติที่รู้ไม่เท่าทันมัน จะรู้สึกกลัว หวาดผวา ถึงขั้นสติแตกหนีกระเจิดกระเจิงไปเลย

…โปรดติดตามตอนต่อไป หลวงพ่อกับดวงแก้วมังกร…

—-

Jul 23 2010

หลวงพ่อกับดวงแก้วมังกร

ในสมัยที่หลวงพ่อออกบำเพ็ญเพียรใหม่ ๆ ได้มีโอกาสไปพักอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งเป็นป่ามีถ้ำทางภาคใต้ซึ่งมีพระผู้อาวุโสกว่าพักจำพรรษาอยู่ก่อนแล้ว ในตอนกลางคืนท่านก็ได้เข้าสมาธิตรวจดูบริเวณสถานที่พักก็พบว่าพระรูปนั้นท่านกำลังใช้สมาธิดึงเอาลูกแก้วออกมาจากปากมังกร ซึ่งพระรูปนั้นก็เพียรทำมาตั้งหลายปีแล้วแต่ไม่สำเร็จ เมื่อหลวงพ่อพิจารณาดูก็เลยลองทำวิธีใหม่ๆซึ่งไม่เหมือนกับพระรูปนั้นโดยการนั่งแผ่บารมีเพ่งไปที่ลูกแก้วนั้นในลักษณะพลังยันกันอยู่ พอรู้ว่าแผ่บารมีเต็มที่แล้วท่านก็ถอนจิตกลับอย่างรวดเร็ว

ทีนี้พลังจากดวงแก้วก็เป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาครอบตัวของท่านแทน(คงจะเหมือนกับที่มีคน 2 คนยืนเอามือผลักกันไว้พออีกฝ่ายหนึ่งถอยหลังออก อีกฝ่ายก็คงล้มมาทับคนที่ถอย) หลังจากนั้นหลวงพ่อจะเกิดความรู้สึกว่าที่หัวเหมือนสวมหมวกกันน็อคอยู่ตลอดเวลา ตาก็มองอะไรสว่างไสวไปหมด

ท่านว่าเป็นการแลกเปลี่ยนบารมีกัน บารมีของท่านส่วนหนึ่งก็ไปแทนที่อยู่ที่ดวงแก้ว ส่วนบารมีของดวงแก้วก็มาอยู่กับท่านแทน ซึ่งหลวงพ่อมักจะสอนลูกศิษย์ถึงการรู้จักให้กับเขาก่อน ก่อนที่เราจะเอาจากเขา และบอกว่าพวกดวงแก้ว หรือ เหล็กไหล นั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยรักษาผืนแผ่นดินให้มีความศักดิ์สิทธิ์ ให้เกิดความสมดุลตามธรรมชาติ เราเอาแต่บารมีเขามาใช้ก็พอ ตัวเขาก็ให้อยู่รักษาผืนแผ่นดินไปจากความสัมพันธ์ที่ท่านมีอยู่กับดวงแก้วมังกรหรือพญานาค

เมื่อเวลาที่ลูกศิษย์มาขอให้ลงบารมีให้ท่านก็มักจะลงบารมีของดวงแก้วให้ด้วย ท่านมักจะบอกลูกศิษย์ว่า ดวงแก้วมีความแข็งแกร่ง สดใส สว่างไสว ก็ขอให้ชีวิตและจิตใจของพวกเรามีความแข็งแกร่ง สดใส และสว่างไสวเหมือนดวงแก้วนั้นด้วย

ส่วนลูกศิษย์ที่ชอบปฏิบัติ ท่านก็จะบอกว่าฤาษีที่ไม่มีดวงแก้ว ไม่มีตบะ ทำอะไรไม่สำเร็จหรอก (น่าจะหมายถึงใจที่เหมือนดวงแก้ว)

โดยส่วนตัวของหลวงพ่อที่มีความชอบในตัวพญานาค

ท่านจะกล่าวว่าพญานาคเป็นตัวสะเทือนน้ำสะเทือนบก คืออยู่ได้ทุกที่ทั้งในน้ำและบนบก

เหมือนบารมีที่ท่านลงให้ที่ตัวหรือวัตถุมงคลก็ตาม จะสามารถอยู่ได้ทุกสถานที่ ไม่มีเสื่อม

และสำหรับท่านที่ชอบภาวนา เวลาภาวนาให้มีพระท่านอยู่ในมืออาราธนาบอกกล่าวท่าน แล้วนั่งทำใจให้โล่ง ๆ ว่าง ๆ สบาย ๆ ภาวนาบทใดก็ได้ที่ถนัด หรือนั่งทำใจโล่ง ๆ ว่าง ๆ สบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องบริกรรมภาวนาก็ได้ บารมีในองค์พระจะช่วยทำจิตของเราให้สงบเร็วขึ้น

ลองทำดูซักวันละ 5 นาที 10 นาที อาจจะได้รู้เห็นอะไรแปลก ๆ มาเล่าสู่กันฟังบ้าง

…แล้วจะกลับมาเล่าเรื่องอภินิหารดวงแก้ว รอก่อนเด้อจ้าพี่น้อง…

Aug 2 2010

เรื่องนี้เป็นเรื่องของลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อคนหนึ่ง

เดิมทีได้คุยกันไว้แล้วกับเจ้าตัว(ต้นเรื่อง)บอกว่าจะเป็นคนเล่าเรื่องหลวงพ่อเอง เพราะบอกว่าสามารถเขียนเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับพระอาจารย์ได้เป็นหนังสือหลายเล่มทีเดียว เลยพักไปเพื่อให้เขาได้เขียนแต่ก็คิดว่าคงติดภารกิจจึงยังไม่ปรากฎบน Web

ถ้ายังไงก็ขออนุญาตเล่าเรื่องที่ครูเก่ง(นามสมมุติ)เคยเล่าให้ฟังก่อนสักเรื่อง

ครูเก่งเป็นลูกศิษย์ที่ติดตามพระอาจารย์ตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้นจากที่ไม่เคยเลื่อมใสศรัทธา(จำเป็นต้องมาเข้าวัดกับผู้ปกครอง)จนกลายเป็นเลื่อมใสศรัทธา เมื่อครูเก่งเรียนจบและได้ทำงานรับราชการที่มั่นคงแล้ว ก็ได้ขอลาบวชเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา โดยเลือกที่จะจำพรรษอยู่กับหลวงพ่อที่วัดป่าบ้านละหานทรายใหม่

หน้าที่ที่จะต้องดูแลหลวงพ่อประจำของครูเก่งก็คือ ทำความสะอาดกุฏิและจัดที่นอนหลวงพ่อให้เรียบร้อย มีอยู่วันหนึ่ง ครูเก่งได้เข้าไปที่ห้องหลวงพ่อเพื่อทำความสะอาดและจัดที่นอนของหลวงพ่อ เหมือนปกติที่เคยทำมา ตัวหลวงพ่อก็นั่งอยู่ข้างนอกตรงที่ท่านใช้รับแขกอยู่เป็นประจำ

เมื่อครูเก่งทำความสะอาดห้องเสร็จขณะกำลังยืนจัดผ้าปูที่นอนก็มองเห็นหลวงพ่อลอยเข้ามาหา แล้วเอามือจับลงที่หัวของครูเก่ง

ในขณะนั้นครูเก่งก็มองเห็นดวงแก้วขนาดใหญ่เท่าผลมะตูมสีขาวสว่างไสวลอยเข้ามาที่มือของหลวงพ่อที่จับหัวของครูเก่งเอาไว้

แล้วดวงแก้วดวงนั้นก็หายเข้าไปในหัวของครูเก่ง

ครูเก่งบอกว่ามีความรู้สึกเย็นวาบและสว่างไสวไปหมดทั้งตัว และตัวของครูเก่งก็นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น สักพักหนึ่งก็รู้สึกตัว

เมื่อจัดทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาจากห้องนอน ก็เห็นหลวงพ่อนั่งอยู่ที่เดิม หลวงพ่อมองครูเก่งแล้วก็ยิ้มให้ แล้วก็พูดว่า “โอ้ ได้ของดีเลยนะท่าน” แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะไม่พูดอะไรอีก

ครูเก่งเล่าต่อว่ารู้สึกปลื้มใจที่ได้ของดี และเห็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อ ทำให้มีกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป

…ครั้งต่อไปน่าจะมีคนช่วยเล่าเรื่องจริงให้ท่านทั้งหลายได้ฟังอีก…

…คุณครูเข้ามาเล่าต่อเด้อ…

—-

Aug 3 2010

หลวงพ่อรอลูกศิษย์

ช่วงที่รอครูเก่งมาเล่าประสบการณ์จริงสู่กันฟังนั้น ขออนุญาตเล่าเรื่องดวงแก้วให้ฟังก่อน

ช่วงแรกๆที่ผู้เขียนและคณะศิษย์ยังไม่ได้สร้างพระถวายหลวงพ่อนั้น พี่ชายของผู้เขียนจะไปหาซื้อลูกแก้วตามร้านขายของเล่น แล้วเอามาให้หลวงพ่อท่านอธิษฐานจิตอัญเชิญบารมี หลังจากนั้นหลวงพ่อก็จะแจกให้แก่ญาติโยมที่มาร่วมทำบุญที่วัด

บางส่วนผู้เขียนก็ได้นำไปแจกให้กับญาติพี่น้องที่เคารพนับถือกัน ยายพรมเป็นคนหนึ่งที่พี่ชายของผู้เขียนเอาลูกแก้วมาแจกให้ที่บ้าน เพราะแกเป็นผู้เฒ่าไม่สะดวกจะเดินทางไกล จึงมักฝากปัจจัยร่วมทำบุญทุกครั้งที่คณะของเราได้เดินทางไปกราบนมัสการท่านหลวงพ่อ

เมื่อได้ลูกแก้วมาแล้วยายพรมก็ยกมือสาธุแล้วนำลูกแก้วไปเก็บไว้บนหิ้งในห้องนอน มีอยู่คืนหนึ่งยายพรมนอนไม่หลับ คงจะคิดถึงลูกหลานที่อยู่ต่างแดนตามประสาผู้เฒ่า คิดไปเพลินๆตาก็สว่างยิ่งนอนไม่หลับ แกพลิกไปทางหิ้งที่เก็บลูกแก้วอยู่ แต่แล้วแกก็ต้องประหลาดใจมาก เพราะว่าแกเห็นแสงสว่างสีสันสวยงามบนหิ้ง สักพักจึงเห็นเป็นลูกแก้วเรืองแสงค่อยๆลอยขึ้น แล้วลอยวนไปมารอบห้องนอน

ยายพรมทั้งรู้สึกยินดีและรู้สึกตกใจกับสิ่งมหัศจรรย์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา และสักพักลูกแก้วก็ลอยวนกลับไปอยู่บนหิ้งดังเดิม มาถึงตอนนี้ต้องบอกว่าเหลือเชื่อและทุกอย่างที่ยายพรมเห็นไม่มีหลักฐานที่จะสามารถพิสูจน์ได้ มันอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือผู้เฒ่าอาจจะฝันก็ได้ใครจะไปรู้

—-

Aug 11 2010

หลวงพ่อรอลูกศิษย์  (ต่อ)

ช่วงวันสงกรานต์ลูกศิษย์จะจัดพิธีสรงน้ำหลวงพ่อทุกปี

เมื่อประมาณปี 2546  ปีนี้ก็เหมือนทุกปีที่ลูกศิษย์ได้จัดพิธีสรงน้ำหลวงพ่อ

เมื่อลูกศิษย์ได้จัดเตรียมดอกไม้และน้ำอบน้ำหอมเพื่อสรงน้ำเรียบร้อยแล้ว จึงได้นิมนต์ท่านหลวงพ่อนั่งในที่ที่จัดเตรียมไว้เพื่อรอรับการสรงน้ำจากลูกศิษย์

หลวงพ่อจึงบอกลูกศิษย์ว่าเดี๋ยวรอก่อน ลูกศิษย์ จึงได้นั่งรอต่อด้วยความกระวนกระวายใจ เพราะบางคนมีภารกิจต้องรีบไปดำเนินการต่อ

ประมาณหนึ่งชั่วโมงผ่านไปลูกศิษย์ทนไม่ไปไหวจึงได้เข้าไปนิมนต์ท่านหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจึงบอกว่าให้รออ้วนก่อนเดี๋ยวก็มา

ลูกศิษย์จึงถามหลวงพ่อว่า “เขาบอกไว้หรือว่าจะมาวันนี้ เพราะตอนที่คุยโทรศัพท์กัน อ้วนก็ไม่ได้บอกว่าจะมา”

หลวงพ่อตอบว่า “ไม่ได้นัดกันไว้”

สักพักหนึ่งทีมงานพี่อ้วนก็เดินทางมาถึง พอหลวงพ่อเห็นทีมงานก็อมยิ้ม ลูกศิษย์ที่ยังสงสัยกันอยู่จึงได้เข้าไปถามพี่อ้วนว่า “อ้วนบอกพระอาจารย์หรือว่าจะมาวันนี้ พี่เห็นพระอาจารย์บอกว่าให้คอยก่อน”

พี่อ้วนตอบว่า “ผมไม่ได้บอกครับ ไม่เคยคุยกับหลวงพ่อเรื่องนี้เลย”

พอลูกศิษย์คนนั้นเดินไป พี่อ้วนก็หันมาพูดกับผู้เขียนว่า “จะบอกกันตอนไหน พระอาจารย์ก็ไม่มีโทรศัพท์”

แต่ที่แน่ๆเมื่อคืนพี่ท่านได้จุดธูปบอกหลวงพ่อแล้วว่าจะมาสรงน้ำท่าน

ช่างประจวบเหมาะเสียจริงหนอ และแล้วพิธีสรงน้ำหลวงพ่อก็ได้ดำเนินไปจนเสร็จพิธี…

CR : https://is.gd/o1D5Rw

แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน