ภาวนาตาย

ภรรยาช่างหล่อที่โรงงานบอกว่า คนอายุพอๆกับผมคนหนึ่ง เข้านอนตามปกติแล้วไม่ตื่นในตอนเช้าอีกเลย
 
ฟังแล้วก็นึกถึงเพื่อนรุ่นพี่อีกคนหนึ่ง เป็นคนมีฐานะดี มีธุระกิจการค้าดี ทั้งยังเป็นคนดูแลสุขภาพของตนเองอย่างดี คือมีการไปตรวจสุขภาพร่างกายทุก ๖ เดือนอย่างเคร่งครัดไม่เคยขาด
 
วันนั้นเป็นวันที่ได้ไปตรวจสุขภาพตามปกติ ตรวจแล้วผลออกมาดี ไม่มีปัญหา คืนนั้นเข้านอนตรงเวลาเหมือนทุกวัน แต่วันรุ่งขึ้นไม่เหมือนแล้วครับ คนรับใช้ไปปลุกให้ตื่นมากินมื้อเช้าก็ไม่ยอมลุกขึ้นมาจากเตียงนอน
 
ลูกเมียของเขาเล่าว่า เขานอนตายในท่าที่ดูแล้วเป็นสุข คือนอนกอดหมอนข้างอย่างสบาย
 
นี่ก็อดนึกถึงคุณยายชีนวลไม่ได้ ท่านเจ็บป่วยหนักหนาสาหัสอย่างไร ไม่ยอมไปหาหมอ ท่านให้เหตุผลว่า หมอก็ตายเหมือนกัน
 
คุณหมอท่านหนึ่งรักและนับถือกันอยู่กับผม ท่านเรียนจบแพทย์จุฬา น้องๆเกียรตินิยม วันหนึ่งพบว่าตนเองป่วยหลายโรค แต่ละโรคหนักหนาสาหัสทั้งนั้น ท่านได้บอกหมอรุ่นน้องและลูกเมียว่า ไม่ขอรับการรักษา จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
 
ไม่นานเดือนต่อมา
คุณหมอก็เสียชีวิต
 
วันนี้..เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมนึกอะไรๆเป็นตุเป็นตะไปเรื่อยเปื่อย ใครก็อย่าว่าผมเลอะเทอะก็แล้วกัน
 
มีร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำอยู่ร้านหนึ่ง วันนี้ร้านก็ปิดไป ถามไถ่ได้ความว่าหมดอายุขัยไปแล้ว ลูกเมียไม่สืบทอดต่อ จำต้องอดกินก๊วยเตี๋ยวฝีมือของเขาอีกต่อไปตลอดกาล
 
เมื่อวานไปซื้อซาละเปาเจ้าเด็ดเมืองพิบูลมังหาร อยู่หัวมุมไฟแดงแยกหัวสะพานข้ามแม่น้ำมูล ร้านนี้เคยมีแหนมหมูห่อใบมะยมอร่อย ถามว่าทำไมจึงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า เขาก็บอกว่าแหนมหมูห่อใบมะยมเจ้าเก่านั้นดับแนวไปหมดแล้ว ไม่มีใครสืบต่อเช่นเดียวกัน
 
ร้านค้าอาหารที่เคยอุดหนุนเป็นขาประจำ พากันล้มหายตายจากไปหลายเจ้า เป็นเหตุให้นึกถึงตนเอง วันหนึ่งใครต่อใครที่เคยอ่านข้อเขียนแทบทุกวัน ก็จะไม่ได้อ่านอีกตลอดกาลเช่นเดียวกัน
 
ที่พูดเลื่อนเปื้อนมาอย่างนี้ อย่านึกว่าผมจะปลง จนถึงกับรีบด่วนตายไปก่อน
 
คนอื่นก็ระวังให้ดี
 
ไม่แน่บางทีจะมีใครตายก่อนผมอีกหลายคน
 
เพราะนี่มันเป็นเรื่องของอนิจจังล้วนๆ
 
ต่อให้ดูแลตนเองวิเศษวิโสแค่ไหน สุดท้ายก็ตายเหมือนกันทุกคน
 
อาจารย์หมอท่านหนึ่งเล่าว่า ถ้ามีเงิน เขาก็มีเทคโนโลยี ที่จะทำให้ไม่ตายง่ายๆ หัวใจเทียมก็มี ไตเทียมก็มี ปอดเทียมก็มี ฯลฯ แต่ว่าจะต้องนอนเป็นผักอยู่กับเครื่องมือเครื่องจักรอันทันสมัยไปเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าจะนึกอยากตายให้มันแล้วๆไปสักที ก็ตายไม่ได้จนกว่าเงินจะหมด
 
จริงอย่างที่หลวงปู่คำพันธ์เคยพูดไว้ คนเจ็บป่วยไข้อาการหนัก หมอทำได้แค่ยืดเวลาตายออกไปเท่านั้น
 
ครั้งหนึ่งหลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ เคยยื่นมือให้ผมจับชีพจร สัมผัสการเต้นผิดจังหวะของหัวใจไม่เป็นส่ำ แล้วบอกว่า “เมื่อคืนนี้เฮาตายไปแล้ว แต่หมอไม่ยอมให้เฮาตาย “ ..สุดท้ายก็ไม่มีหมอคนไหนยื้อท่านไว้ได้อีก
 
หลวงพ่อชาเคยสั่งเอาไว้ว่า ถ้าถึงกับจะต้องใส่ท่อต่อสายระโยงระยาง ก็ปล่อยเสียเถิด อย่ารั้งท่านไว้
 
ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจึงบอกเตือนให้มีมรณานุสติไว้เสมอ
 
เจ็บป่วยเมื่อไหร่ให้รีบเร่งภาวนาตาย
 
จะได้ตายอย่างไม่หลงสติ
 
ที่พูดมาทั้งหมดนี้
 
ไม่ได้แปลว่าจะดื้อรั้นไม่ไปหาหมอ
 
ไปแน่ครับ
 
เพราะเหตุว่าสถาบันหมอคือผู้มีคุณูปการต่อคนป่วยไข้ ได้ช่วยบรรเทาทุกขเวทนา ยีดอายุสังขารคนเจ็บไข้ได้ป่วยให้อยู่กับลูกหลานว่านเครือต่อไปสักระยะหนึ่งก็ยังดี
 
กระทั่งหลวงปู่หลวงพ่อที่ว่าแน่ พอถึงวาระโอกาสคับขันวิกฤตก็ต้องหามไปหาหมอทั้งนั้น
 
เรียกว่ายังไงๆก็ต้องไปหาหมอที่เป็นเสมือนเป็นเพื่อนตาย ซึ่งต่อไปภายหน้าความจริงจะปรากฏอย่างแน่ชัดว่า ทั้งหมอทั้งคนไข้จะต้องถึงคราวตายเหมือนกันหมดทุกคน
————–
อำพล เจน
22 กค. 2561
แชร์ :

ความคิดเห็น

** โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างมีวิจารณญาน